Lone Season Trip @ Ranong – Chomporn (Part Two)

หากคุณได้ลองออกเดินทางสักครั้ง มันจะทำให้รู้ว่าสิ่งที่สวยงามที่สุดไม่ได้อยู่ที่ปลายทางเสมอไป ระหว่างทางก็สวยงามไม่แพ้กัน การเดินทางที่ผมพูดในที่นี้ ไม่ใช่การจองที่พัก เดินทางไปให้ถึงแล้วก็เข้าพักจบแค่นั้น  การเดินทางสำหรับผมคือ การเปิดมุมมอง สังเกตสิ่งรอบๆข้าง ลองหยุดนิ่ง ลองสัมผัสกับสิ่งรอบๆตัว ลองสิ่งแปลกใหม่แล้วคุณจะได้รับบางสิ่งจากการเดินทางแน่นอน

 

Go to ชุมพรรรร

เมื่อผมกลับถึงฝั่ง ผมมุ่งหน้ากลับมาที่ลานจอดรถ รถที่ผมฝากไว้เมื่อวานก่อนยังอยู่ปกติดี เก็บข้าวเก็บของเพื่อออกเดินทางต่อโดยจุดหมายวันนี้ผมจะไปพักที่โฮมสเตย์ แถวบ้านท้องตมใหญ่ในเขต จังหวัดชุมพร  

เช้าวันนี้ผมจึงต้องขับรถกว่าสองชั่วโมงเพื่อข้ามจากฝั่งทะเลอันดามัน มาสู่ฝั่งอ่าวไทย ผ่านภูเขาทางใต้ที่สลับซับซ้อน โดยการมาเยือนครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกสำหรับผมเหมือนกัน เหมือนกับที่ผมไประนองแล้วตกหลุมหลังจังหวัดนี้ 

ผู้คนทั่วไปมักมองชุมพรเป็นเหมือนทางผ่านไปททางใต้ มักไม่ค่อยเป็นจุดสนใจให้ ผู้คนแวะพัก แวะเที่ยว แต่ผมไม่มองข้ามขอตะลอนหาเผื่อเจอที่สวยๆ ที่จะกลับมาบอกเพื่อนๆได้ว่า มึงพลาดดดดดดแล้วววว 5555

ผมขับรถย้อนกลับมาทางภูเขาหญ้า ผ่านน้ำตกหงาวแต่ไม่ได้แวะหรอก ถ้ามีเวลาก็อยากแวะอยากสำรวจ แต่ผมมีมื้อเที่ยง ที่โฮมสเตย์เตรียมไว้ให้ตอนเที่ยง จึงต้องรีบบึ่งไปให้ถึงที่พัก ผมใช้ทางหลวง 4006 ซึ่งมีสวยงามไม่แพ้กับทางภาคเหนือ มีเทือกเขาและวิวให้ดูเรื่อยๆ แถมยังเป็นเส้นทางที่ผ่านอำเภอ “พะโต๊ะ” ซึ่งหลายๆคนคงได้ยินมานานแล้วว่าที่นี่เป็นอีกที่ที่คนนิยมมาล่องแพ  เสียดายรอบนี้ได้แค่ผ่าน ผมแวะเติมน้ำมันที่ปั้มประจำอำเภอ ก่อนจะขับรถต่อ

 

บ้านลุงน้อย โฮมสเตย์บ้านท้องตมใหญ่

และแล้วผมก็มาถึงโฮมสเตย์บ้านท้องตมใหญ่ ที่พักคืนนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะมานอนแบบโฮมสเตย์ คือกินอยู่นอนแบบชาวบ้านแท้ๆ เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตของคนที่นี่ อาจจะสงสัยว่าทำไมผมต้องมาพักที่นี่ คือเมื่อตอนที่ผมหาที่พักคืนที่สอง ผมมีโอกาสคุยกับคุณบอล พาเที่ยว และได้คำแนะนำจากเค้าอย่างนึงว่า เกาะกุลาเนี่ย เป็นเกาะที่สวยงามและสงบที่ไม่น่าพลาด แต่ด้วยความที่ว่า เป็นเกาะที่ไม่ใหญ่ ไม่มีเรือเมล์ หากจะมาต้องเหมาเรือมาในราคา 1200 เท่านั้น ผมมาคนเดียวคงจะดดูไม่คุ้ม ผมจึงหาที่พักใกล้ๆ เกาะ โดยมีความหวังว่าจะตีสนิทนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น เพื่อข้ามเรือไปเกาะ  บ้านท้องตมใหญ่จึงเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะหมู่บ้านนี้อยู่ตรงข้ามกับเกาะเลย และที่พักแบบโฮมสเตย์นี้  คนที่มาพักมักมาเป็นกลุ่มเพื่อร่วมทำกิจกรรม

แต่เมื่อมาถึงที่นี่ก็ต้องผิดหวัง ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันศุกร์ แต่ไม่มีนักท่องเที่ยวมาพักกลุ่มอื่นเลยนอกจากผม ไม่เป็นไร การเดินทางแบบนี้แผนมักเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ผมเข้าไปทักทายลุงน้อย ภรรยา และผู้ดูแลซึ่งก็คือลูกชายแก บ้านแกเป็นบ้านแบบาวประมง แนวยาวเข้าไปในทะเลด้านในส่วนที่ยื่นเข้าไปททะเล ยังเป็นระเบียงกว้างโล่งให้แขกผู้มาพัก จัดแจงเลือกที่นอนได้ตามใจชอบ

การมาพักแบบนี้อีกสิ่งหนึงที่แตกต่างจากการพักโรงแรมคือ ทุกอย่างต้องบริการตนเองทันทีที่ผมจัดแจงที่นอนสำหรับคือนี้ ผมก็เดินเข้าครัวหาข้าวทานทันทีเนื่องจาก ข้าวต้มปลามื้อเ้ามันละลายหมดละหว่างทางและ

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นสำหรับคนที่มาพักที่หมู่บ้านแห่งนี้คือ ม้าน้ำ พี่วัชรินทร์ลูกลุงน้อยผู้ดูแลโฮมสเตย์แห่งนี้ พูดคุยกับผมว่า ที่นี่มีม้าน้ำเยอะ และหากชาวบ้านเจอหรือติดมากับแหที่าวบ้านจับปลา เค้าจะเอามาอนุบาลจนมันโตแล้วก็จะปล่อยกลับลงทะเล

ม้าน้ำเป็นปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่งที่รูปร่างอาจจะไม่เหมือนปลา หัวดูเหมือนม้าและก้างหรือกระดูดมันนั้นจะห่อหุ้มตัวเอาไว้อีกที โชคดีตอนที่ผมมา มีม้าน้ำรอปล่อยกลับสู่ธรรมชาติสามตัว

พูดคุยกับพี่วัชรินทร์จบ ผมก็กลับมาบริเวณระเบียงนอน คืนนี้ผมจะนอนที่นี้แหละ และช่วงบ่ายนี้ทั่งบ่ายผมก็จะใช้ชีวิตสโลไลฟแบบสลอต ให้เวลาไหลผ่านไปเรือยๆ ฟังเพลงบ้าง อ่านหนังสือบ้างตามประสาไป

ชุมชนบ้านท้องตมใหญ่

พระอาทิตย์อ่อนแสงลง เวลาขยับเข้ามาเรื่อยๆ ผมลุกขึ้นจากความขี้เกียจเพื่อออกไปเดินเล่นในหมู่บ้านบ้าง  หมู่บ้านแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนชาวประมงแท้ๆๆ แทบทุกหลังมีอาชีพประมง บ้านส่วนใหญ่ตั้งจึงอยู่ริมอ่าว ซึ่งอยู่ในเวิ้งที่หลบพายุได้ดี ส่วนบริเวณกลางอ่าวก็จะมองเห็นไม้ไผ่จำนวนมาก ที่ชาวบ้านไปปักเพื่อลงอุปกรณ์จับปลาไว้ 

ผมเดินมาเรื่อยๆ จนสุดทางหมู่บ้านก็จะพบกับสะพานปลาสำหรับเรือประมงมาจอดขึ้นปลา ถัดมาจากสะพานปลามีสัญลักษณ์ของหมู่บ้าน นั้นคือรูปปั้นม้าน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งมีสัตว์ที่พบมากตามธรรมชาติในบริเวณนี้ และจากการสอบถามพี่วัชรินทร์ ทำให้ทราบว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่อ่าวดินเล่นนะ มีหาดทรายด้วย สามารถเดินลัดเลาะไปตามโขดหินแล้วจะไปโผล่หาดเพียงหนึ่งเดียวของหมู่บ้านซึ่งมีชื่อว่า หาดท้องตม

การเดินทางมาหาดนี้ จริงๆ ขับรถมาก็ได้แหละ หรือจะเดินลัดผ่านเส้นทางเลียบเลาะได้ อาจจะดูรกๆวังเวง ตอนแรกก็เสียวๆ นี่มันจะไปถึงไหน 555 แต่เดินได้ครับ   เลาะมาเรื่อยๆจึงจะเห็นโขดหินและตัวหาดเอง

แน่นอนอยู่แล้วครับ หาดท้องตมนี้จะไปสวยเท่าหาดบนเกาะพยามที่ผมนอนเมื่อคืนได้อย่างไร และหาดนี้ยังมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ยังไงหาดนี้เป็นเหมือนที่พักผ่อนของคนในหมู่บ้านและบริเวณใกล้เคียง แถมที่สำคัญไม่มีคนเลย

วันนี้อากาศไม่ค่อยดีรูปที่ถ่ายมาจึงดูหม่นๆ วันนี้คงไม่ได้เห็นฟ้าสวยๆ ผมจึงเดินกลับมายังบริเวณสะพานปลาของหมู่บ้าน เดินไปแอบดูกำลังมีเรือประมงขึ้นปลาอยู่ ดูซิว่าแถบนี้มีสัตว์ทะเลอะไรบ้าง

ผมยืนดูชาวประมงสักพักก่อนเดินกลับมาที่บ้านลุงน้อยในใจก็ลุ้นว่าเย็นนี้จะได้กินอะไรเป็นมื้อเย็น กลับมาถึงป้าเตรียมกับข้าวไว้เรียบร้อย วันนี้แขกคนเดียวกินคนเดียว อาหารเลยอาจจะดูน้อยไปบ้าง แรกๆก็คิดครับว่า ไม่คุ้มเลย มีแค่ผัดปลาหมึก กับปลาแบนๆ เห็นรีวิวคนอื่นมีกุ้งมีปูด้วย หรือเพราะว่าเรามาคนเดียว ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ แต่อาหารฝีมือป้าก็อร่อยไม่เลวนะผมกินเกือบหมดตัว ซึ่งป้าบอกไว้แต่แรกแล้วกินไปเลยไม่ต้องเกรงใจ

ท้องอิ่มกลัวก็ได้เวลากลับมาที่ระเบียง คืนนี้ผมนอนตรงระเบียงเนี่ยแหละ ลมโชวอ่อนๆแต่ก็มีพัดลมเปิดไว้เวลาลมไม่มาเหมือนนกัน จัดแจงปูที่นอนหมอนผ้าห่ม วิวเวลานี่มันสวยจริงๆ 

มุมนี้เป็นมุมที่ผมชอบที่สุด ช่วงหัวค่ำมียุงบ้าง แต่ดึกๆยุงก็หายเปลี่ยนเป็นมดแทน เอาหน่าพักแบบนี้มันก็ต้องมีกันบ้าง วันนี้เป็นวันที่ผมได้พักผ่อนจริงๆจังๆ สามทุ่มผมก็เผลอหลับไป สะดุ้งตื่นอีกทีก็เกือบตีหนึ่ง เนื่องจากบ้านไม้แบบนี้ เวลาคนเดินจะมีเสียง ผมเห็นพี่คนนึงที่อาศัยในบ้าน กำลังเดินไปที่เรือพร้อมอุปกรณ์คล้ายแห จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่า เป็นเวลาที่จะออกไปจับปลา

ผมเดินออกมาที่ระเบียงด้านนอก และสิ่งหนึ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอในทริปนี้คือ เรือพร้อมคลื่น ใช่ครับเรือพร้อมคลื่นจริงๆ แต่ไม่ใช่คลื่นธรรมดานะ มันมีแสงงงงงงงงงงง

เห้ยๆๆๆ มองรอบๆ นี่มัน Life Of pi ปะเนี่ย ที่นี่มีแพลงตอนเรืองแสงด้วย พอน้ำขยับปุ๊บตรงนั้นจะมีแสงสีเขียวอ่อนๆ เสียดายถ่ายรูปไม่เห็น เพราะมันมืดมาก แสสงก็อ่อนมาก มีเพียงแค่ดวงตาที่พอจะมองเห็น ถึงจะไม่สวยงามเหมือนที่อื่นที่ผมมักจะเห็นในภาพ แต่นี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นกับตาตัวเอง

ผมใช้เวลาเกือบครึ่ง ชม. ในการกวนน้ำเล่น 555 และอีกครึ่ง ชม พยายามจะถ่ายรูป โดยไม่มีขาตั้งกล้อง จนแล้วผมก็ล้มเลิกความตั้งใจ กลับมาเก็บกล้องเข้านอนเหมือนเดิม

เช้าวันที่สามของผม วันนี้อากาศดี ผมตื่นแต่เช้ามารับอากาศบริสุทธิ์ ฟังเสียงเรือขับไปมาได้บรรยากาศดีมาก ก่อนอาบน้ำอาบท่า รับประทานอาหาร วันนี้ป้าเตรียมอาหารคล้ายกับเมื่อวานคือปลาแบนๆ ผัดขิง ไข่เค็มดาว และปลาหมึกต้มเค็ม

ผมนึกในใจปลาอีกและ และบ่นกับตัวเอง แต่ผมก็มารู้ทีหลังว่าปลาทั้งสองตัวที่ผมได้ทานไปคือปลา จาระเม็ดซึ่งราคาค่อนข้างสูงเลยทีเดียว จากที่บ่นๆๆ ก็ได้แต่ขอโทษในใจที่เข้าใจป้าผิด 555 คุ้มและที่ได้มาที่นี่

วันนี้อากาศดีครับ อย่างที่บอก ก่อนที่จะเก็บข้าวเก็บของ และล่ำลาลุงกับป้าและพี่วัชรินทร์ ผมก็แวะมาที่สะพานปลา ซึ่งมีรูปปุนม้าน้ำเพื่อถ่ายรูปแก้ตัวจากเมื่อวาน

สำหรับแผนวันนี้ของผมนั้น คือขับรถกลับกรุงครับ ไม่มีไรมาก ขับยาวๆๆ แต่เส้นนี้ผมไม่เคยแวะหาดไหนเลยที่เลยหาดวนกรมาแล้ว ผมขอแวะบ้างหาดบางหาดที่มีชื่อจริงๆ 

ผมกลับเข้ามาที่ถนนเส้นหลัก ระหว่างทางเห็นป้ายกาแฟถ้ำสิงห์ OTOP ขึ้นชื่อจึงไม่พลาดที่จะลองแวะ ขอชิมกาแฟถ้ำสิงห์Signature ที่เป็นกาแฟอเมริกาโน่ ใส่น้ำผึ่งเล็กน้อย และต้องทึ่งอีกครั้ง เห้ยยเนี่ยแหละรสชาติที่ตามหา กาแฟถ้ำสิงห์เป็นกาแฟที่ใช้เมล็ดพันธุ์โรบัสต้า ซึ่งไม่จำเป็นต้องปลูกในที่สูงและอากาศดี แต่จะมีความขมและเข้มมากกว่ากาแฟพันธ์อาราปิก้า หากขากลับขึ้นกรุงเทพใครเห็นป้ายลองแวะชิมกันนะได้

ผมขับรถต่อเรื่อยๆ เข้ามาในตัวเมืองชุมพร เพื่อผ่านไปยังจุดหมายของผมในวันนี้ หาดที่ได้ชื่อว่ามีความยาวหมื่นลี้นั้นก็คือ หาดทุ่งวัวแล่น

หาดทุ่งวัวแล่น ไม่เห็นจะมีวัวสักตัว

และแล้วผมก็เดินทางมาถึง หาดที่ได้ขึ้นชื่อว่า หาดยาวหมื่นลี้ของชุมพร ซึ่งก็คือหาดทุ่งวัวแล่น
หาดทุ่งวัวแล่นมีความยาวค่อนข้างมาก หาดทรายกว้างและสะอาด ผมมาถึงกลางวันวันเสาร์ คนไม่ค่อยมี แดดดี มีฝรั่งนุ่งบิกินนี่เล่นน้ำน่ามอง 555 ผมใช้เวลาสักพักกับหาดทุ่งวัวเล่น นั่งรับลมสัมผัสไอแดด ก่อนจะเดินลงไปในทะเล ซึ่งน้ำใสมากกก  จึงเป็นอีกที่ ที่น่ามาแวะเวียนหาดได้มาที่ชุมพร

ตากแดดจนเริ่มเกรียมก็ได้เวลาเดินทางต่อ จุดหมายต่อไปผมให้ชื่อว่าเป็น Hidden Place ของทริปนี้ก็ว่าได้

Hidden Place อ่าวทุ่งซาง  ที่น้อยคนรู้จักแต่สวยมากๆๆๆๆๆ

ที่สุดท้ายที่ผมแวะก่อนกลับคืออ่าวทุ่งซาง ผมจำไม่ได้ว่าไปได้ข้อมูลอ่าวนี้มาจากได้ ผมได้ยินมาว่าที่นี่สวยน้อยคนที่จะรู้จัก แถมยังอยู่ระหว่างทางกลับกรุงเทพ มีหรือที่ผมจะไม่ลองออกนอกเส้นทางเพื่อมาพบกับสถานที่ใหม่ๆ ผมตั้ง GPS นำทางจากหาดทุ่งวัวแล่นมาที่นี่ซึ่งไม่ไกลมาก ระหว่างทางแวะซื้อสตอสักหน่อยไหนๆก็มาถึงนี่และ ถามว่ากินเป็นไหม คำตอบคือไม่ แต่ก็ซื้อครับเผื่อเพื่อนๆถามหาของฝาก 555 อ่ะนี่ไงสตอไปผัดเอานะ 555

กลับมาๆ ขับรถชมวิวมาเรื่อยๆ จนมาถึง อ่าวทุ่งซาน  ด้านหน้าผมเป็นศาลาพักแบบริมทาง พื้นที่ด้านหน้ามีไม่เยอะนะ ไหนใครบอกว่าสวยไง มันก็ไม่มีอะไรเท่าไหร่ เวลานี่ก็เที่ยงๆ บ่ายๆ และ มีรถชาวบ้านจอดคันเดียวกับมอไซค์อีกสองสามคัน  

ผมตัดสินใจว่าจะลงไปดูสักหน่อยแล้วค่อยออกไปหาอะไรกินก่อนตีรถยาวกลับกรุงเทพ แล้วผมก็หยิบกล้องเดินลงไปในหาด แต่ภาพที่ผมเห็นแตกต่างจากที่เคยปรามาศไว้ ทางขวาของจุดที่ผมเดินลงเป็นเป็นหน้าผาตั้งสง่าท้าสายลม และบริเวณนี้น้ำใสมากๆๆๆๆ ยิ่งกว่า เหมือนตอนนี้ผมไม่ได้ยืนที่อ่าวไทย 

สมมุติมีคนถ่ายรูปมาแล้วหลอกว่าถ่ายบนเกาะผมยังเชื่อเลย 555 ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมก็เดินกลับไปที่รถทันที ไม่ใช่จะขับกลับนะ เพราะผมเปลี่ยนใจกระทันหัน ไม่โดดไม่ได้และ

 

หลังจากนั้น 5 นาทีผมก็มาพร้อมกับชุดสำหรับลงเล่นน้ำ มาคนเดียวเล่นคนเดียวก็ได้เฟ้ยยยย 555 เอาเป็นว่าน้ำใส สีเขียว กล้องก็ถ่ายมาไม่สู้ตามอง หากใครมาชุมพร บอกเลยย อย่าพลาดดดดครับ 555ที่นี่ไม่มีร้านนะครับ ซื้ออะไรมานั่งกินได้ แต่ขอรักษาความสะอาดนะครับ ความงดงามจะได้อยู่กับเราไปนานๆ

เล่นน้ำเอาจนดำทั้งตัว  เติมเต็มทริปนี่ที่ไม่ได้ลงเปียกตั้งแต่ต้นทริป มาลงเอาวันสุดท้าย 555 กลับมาตรงศาลาที่นี่มีห้องอาบน้ำจืดให้อาบครับ อาบน้ำอาบท่าเสร็จหัวเปียก กลับบ้าน

มีจุดเริ่มต้นก็มีจุดสิ้นสุดครับทริปนี้ก็ถึงเวลาอำลาประสบการณ์ดีๆที่เข้ามาเติมให้กับชีวิตผม สถานที่ๆไม่เคยไป  นอนในที่ๆไม่เคย ลองกินอะไรใหม่ๆ เนี่ยแหละครับการเดินทาง ถึงแม้บางครั้งจะติดๆขัด แต่มันก็เหมือนเป็นรสชาติครับ อย่างรอบนี้ตอนกลับผมจะแวะอีกที่นึง แต่เลี้ยวผิดซอย เข้าป่า  หญ้ารก เกือบหาทางเอารถออกมาไม่ได้ 555 หรือความผิดหวังที่ไม่มีคนแชค่าเรือเพื่อข้ามเกาะ ก็ไม่เป็นไรอย่าน้อยไม่ได้ไปเกาะแต่ก็ทดแทนด้วยอ่าวทุ่งซางเนี่ยแหละ 555

  และก็ถึงเวลาล่ำลาสำหรับการเดินทางในทริปนี้ก็จบลงเท่านี้ ขอบคุณที่อ่านบันทึกเรื่องราวของผม  ไว้เจอกันทริปหน้า……  สวัสดีครับ