Lone Season Trip @ Ranong – Chomporn (Part One)

เกริ่นนำ

ในทุกๆวันของชีวิตมนุษย์เงินเดือน เช้าตื่นไปทำงาน เย็นกลับบ้านมาพักผ่อน ก่อนนอนผมถึงจะได้มีโอกาส เปิด youtube ดูรายการทีวีเพื่อพักสายตา พักความวุ่นวายของชีวิตเมืองกรุง และหนึ่งในรายการที่ผมติดตามประจำ ก็สร้างแรงบันดาลใจให้กับผมนั้นก็คือ รายการติดเกาะของคุณเรย์ ทำให้มีอารมณ์ประมาณว่า อยากเดินทางอ่ะคนเดียวก็จะไป อยากไปติดเกาะ ไปใช้ชีวิตเงียบๆ และยิ่งเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวน่าจะเงียบดีพิลึก จึงมาเป็นชื่อทริปที่ว่า Lone Season มาจาก Alone ซึ่งหมายถึงโดดเดี่ยวและ พ้องกับ Low ซึ่งคือฤดูกาลนี้

หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ทำการตระเตรียมโดยเริ่มจากหาที่พักบนเกาะ ซึ่งนอกฤดูกาลแบบนี้เปิดเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น และที่พักอีกคืนที่ผมอยากเปลี่ยนบรรยากาศไปนอนแบบชาวเลย์ริมทะเลก็จัดแจงจองที่พักไป ต่อด้วยการแพลนคร่าวๆ ก่อนออกเดินทาง

ออกเดินทาง

เย็นวันพุธ เวลาที่หลายๆคนกำลังกลับบ้าน หรือบ้างก็แวะทานข้าวเย็น ส่วนผมนั้นเวลานี้คือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ผมเลิกงานเสร็จรีบมุ่งตรงไปยังลานจอดรถ   สภาพอากาศเวลานี้ฝนตกปรอยๆ ผมออกจากลานจอดประมาณ หกโมงเย็น รถยนต์ในกรุงเทพค่อนข้างหนาแน่น จึงได้แต่กระดึ๊บๆๆ เพื่อขึ้นทางด่วนตรงแยกบางนามุ่งตรงผ่านเส้นพระราม 2

หลังจากลงทางด่วนตรงพระรามสองเข้าสมุทรสาคร รถที่เคยหนาตากลับเบาบางลง จนมาถึงถนนเพชรเกษมทางแยกไปเพชรบุรี จึงแวะพักเติมพลังให้กับตัวเราสักหน่อย โดยมื้อเย็นนี้อยากได้ข้าวแกงธรรมาดเนี่ยแหละรองท้อง ทั้งๆที่ปั้มที่แวะค่อนข้างใหญ่ แต่ร้านข้างต่างปิดหมด คงเพราะวันธรรมดา  จึงต้องฝากท้องไว้กับไก่ KFC ประจำปั้ม

หลังจากเดินทางยาวๆๆ ขับกันให้เมื่อยไปข้างนึง ถนนเพชรเกษมช่วงกลางคืนค่อนข้างเปลี่ยว ขับแบบสบายๆๆ แล้วยิ่งเข้าทางแยกระนอง รถยิ่งน้อยใหญ่ ปั้มก็น้อยตาม ทางใต้รู้สึกว่าปั้ม ปตท จะน้อยมากๆๆ อยากจะหาที่แวะไม่มี จนแล้วจนรอดก็ยิงยาวมาถึงระนอง 

ว่าแต่ระนองตอนตีสอง!!!  ทำไรล่ะเนี่ย จอดสิครับ เสริทหาโรงแรมที่พักราคาถูกเผื่อจะได้นอนพักสักสองสามั่วโมง อาบน้ำอาบท่าด้วย ที่อยากได้ราคาถูกเพราะ ไม่คุ้มแน่ ถ้า check in เวลานี้  ขับหาบ้างเสริทบ้าง บางที่ก็เต็ม บางที่ก็ไม่มีที่จอดรถ จนต้องมาจอดปั้มปตท เก่าๆ แล้วก็ดับเครื่องนอน  

อรุณสวัสดิ์ระนอง

ผมหลับๆตื่นๆไม่นาน ตีห้าก็ตื่นขึ้นมา เดินไปห้องน้ำซึ่งค่อนข้างเก่าและเน่า เอาวะวนหาปั้มทั้งเมืองไม่มีปั้มดีๆเลย ปั้มดีๆก็ไม่มีร้านสะดวกซื้อ เลยต้องจำยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าแปรงฟันแล้วแวะเข้าเซเว่นเก่าๆ ในปั้ม เพื่อหาซื้อของกินรองท้อง แล้วจึงออกเดินทางประมาณตีห้าครึ่งไปทางใต้อีกสิบกว่าโล เพราะผมลองเสริทดูแล้วมีปั้ม ปตท ใหม่ขนาดย่อมๆ มีamazonด้วย ก็ไปเลยครับ ตรงไปเลย ก่อนหน้านี้ดู google street แล้ว น่าไปพักก่อนเข้าสถานที่เที่ยวที่แรก

เซอไพรสสสส  ปั้มปตท ไม่มีแล้ววว เปลี่ยนร่างเป็น PT และร้าน minimart ยังไม่เปิด ส่วน amazon หรอ ตามรูปเลย 5555 โดนทุบไปและ สงสัยลูกค้าน้อยเจ๊งกันไปหรือไม่ก็ค่าเฟรนชายแพงจนเจ้าของต้องเปลี่ยนแบรน 

ยังดีหน่อยที่ปั้มนี้ห้องน้ำสะอาดแลดูปลอดภัย ทำให้มีเวลาเข้าห้องน้ำอีกรอบ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสถานที่เที่ยวแรกที่ตั้งใจมา ซึ่งจริงๆ แล้วก็อยู่ตรงข้ามกับปั้มนี้เลย แต่ ณ เพลานี้ฟ้ายังไม่สาง รออีกนิดนะ

ภูเขาที่เต็มไปด้วยหญ้า นามว่า”ภูเขาหญ้า”

ฟังจากชื่อไม่ต้องเดาก็รู้ว่า สถานที่เที่ยวที่แรกของผมนี้จุดเด่นคืออะไร หญ้า ใช่ครับมีแต่หญ้า ทำให้ภูเขาดูกลายเป็นทุ่งหญ้า ซึ่งสามารถชมได้ทุกฤดู ถ้าฤดูแล้งก็จะสีทองๆๆ ฤดูฝนก็จะสีเขียวๆ

ทันทีที่เข้ามาจะพบกับเจ้าถิ่น นั้นคือฝูงหมา ฝูงหมาที่นี่ดูภายนอกอาจจะกังวลมันจะรุมทึ้งตรูไหมฟระ แต่อย่ากังวลไป เจ้าถิ่นที่นี่นิสัยดีแถมบางตัวยังนำทางไปเป็นเพื่อนเราด้วย และเหมือนบางตัวมีเจ้าของนะ เห็นมีปลอกคอ

ออกจากเรื่องหมาๆ มาภูเขาหญ้ากันต่อ ภูเขาหญ้าแห่งนี้เป็นเหมือนพื้้นที่สาธารณะที่ให้ทุกๆๆคนเข้าชมฟรี ที่นี้ดูเหมือนจะมีสองส่วน ส่วนที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างๆๆๆๆๆ กับ ส่วนที่เป็นภูเขา ผมขับรถไปถ่ายรูปได้สักพักก็ถึงเวลา ปีนขึ้นภูเขาหญ้าขึ้นไปด้านบน ไปมองวิวมุมสูงบ้าง เช่นเคย มีผู้ติดตามขึ้นไปด้วย  ด้านบนไม่ได้สูงมากแต่อาจจะทำให้เหนื่อยพอประมาณ อากาศยามเช้ากำลังดีไม่มีฝน เมื่อถึงด้านบน ผมเหลือบไปเห็นว่ามีคนมากางเต้นท์นอนด้วยแฮะแต่เป็นภูเขาลูกอื่นนะ แล้วงี้เข้าห้องน้ำทีต้องปีนลงด้านล่างเลยหรอ

หากมองย้อนกลับมาทางขึ้นก็จะได้เห็น น้ำตกหงาวที่ตั้งตระหง่าสูงชัน เทียบเคียงภูเขาหญ้าซึ่งงดงามมากครับ

พอเริ่มสายแดดเริ่มออก  สาดส่องมาให้พอได้เหงื่อออก ก็ได้เวลากลับลงมาด้านล่าง ร่ำราเหล่าฝูงหมาเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางต่อ  แต่ตอนนี้พึ่งจะ 8 โมงเช้า ยังมีเวลา เพราะผมจองเรือไปรอบ 10:30 แหนะ งั้นหาที่แวะอีกสักที่ก่อนไปท่าเรือละกัน 

บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน

อีกหนึ่งจุดแวะเที่ยวของผม ซึ่งมีความหวังว่าผมอาจจะมาอาบน้ำให้ได้สดชื่นกันที่นี่ แต่สุดท้ายก็ได้แค่แช่เท้าและถ่ายรูปเท่านั้น น้ำแร่ที่นี้เป็นน้ำแร่ที่ผุดขึ้นมา มีจำนวนสามบ่อและมีแร่ธาตุจำนวนมากโดยปราศจากกำมะถัน 

พูดถึงบริเวณบ่อน้ำแร่ อากาศค่อนข้างดี และมีต้นไม้เยอะมาก ผมมีโอกาสเข้ามาแช่เท้าพักนึง รู้สึกเลยว่า น้ำร้อนมาก 555  คนแถวนี้บางคนดูแล้วเป็นขาประจำ มาออกกำลังกายเสร็จก็แวะมาแช่ บางคนแช่แค่เท้า บางคนแช่ทั้งตัวก็มี

หลังจากแช่เท้าเสร็จ ก็ไม่ได้อาบน้ำครับ ขับรถต่อไปยังท่าเรือ ระหว่างทางนึกขึ้นได้ มื้อเช้าจริงๆ จังๆๆยังไม่ได้ตกถึงท้องเลย พลันเหลือบไปเห็นร้านเย็นตาโฟทะเล ด้านหน้าพอมีลูกค้า แถมยังมีที่ว่างให้จอดรถอีกด้วย ได้เวลาหาอะไรใส่ท้อง ไม่น่าเชื่อว่าร้านที่แวะมามั่วๆ จะรสชาติดีแบบนี้ ฟินกันไป 

 

หลังจากท้องอิ่มก็หาที่นอน     …….   ใช่หรออ เดินทางไปท่าเรือต่อสิครับ บริเวณท่าเรือที่มีรับฝากรถหลายแห่งเลือกแห่งใกล้ๆๆ และปลอดภัย คือตรงข้ามท่าเรือเลย จอดเสร็จ อีกเกือบชั่วโมงกว่าจะได้เวลาเรือออก ไม่เป็นไรเข้าไปต่อรองก่อนว่า ไปรอบก่อนหน้าได้ไหม คำตอบที่ได้มาคือไม่ได้ 555 รู้งี้ไม่จองรอบมาดีกว่า เลยต้องนั่งรอ นอนรอเลยทีเดียว

ดีที่มีร้านกาแฟ แวะสั่งกาแฟสักแก้่วแล้วนั่งดูดยาวๆๆ นั่งฟังคนท้องถิ่นพูดคุยกันก็ สนุกไปอีกแบบ

เกาะที่ต้องมุ่งมั่นถึงจะมาถึง เกาะพยาม

นั่งฟังเพลงรอจนได้เวลา ก็เดินไปที่ท่าเรือเห็น เรือ speedboat ลำใหญ่เข้าเทียบท่าจึงเข้าไปถามก็ทราบว่าลำนี่แหละ แต่ระหว่างนั้นสายตากวาดไปรอบๆ ก็เห็นสะตอจำนวนมากวางอยู่จึงทราบว่า ผลผลิตทางเกษตรกรรมของระนองคือสะตอ  และบนเกาะพยามนั้นเองก็มีสะตอปลูกจำนวนมากจึงไม่แปลกที่จะเห็นเรือบรรทุกสตอข้ามมาขายบนแผ่นดินใหญ่

 

กลับมาพูดถึงเรือข้ามเกาะ เรือข้ามเกาะพยามมีอยู่สองแบบคือ speed boat ใช้เวลาเดินทางเพียง สี่สิบนาทีเท่านั้น อีกแบบคือเรือเมล์ ใช้เวลาในการเดินทาง สองชม.ครึ่ง และราคาตั๋วไม่ได้ต่างกันมาก 350 กับ 200 จึงไม่มีเหตุผลที่ผมจะไม่เดินทางโดย speed boat

ทันทีที่ถึงเวลาผมกับผู้โดยสารอีกสี่ห้าท่านขึ้นเรือ speed boat ลำใหญ่ พร้อมกับสวมเสื้อชูชีพเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง การมาเที่ยวนอกฤดูการแบบนี้มันก็จะดูเงียบๆ เป็นธรรมดา ดีนะที่วันนี้ฝนไม่ตก ได้สัมผัสกับแดดบ้าง ทั้งๆที่ ระนองซึ่งหลายคนพูดไว้ว่าเป็นเมืองฝนแปดแดดสี่ จึงมักจะเจอฝนเป็นเรื่องธรรมดา

speed boat นำเรามาถึงที่ท่าเรือเกาะพยาม ซึ่งเป็นเหมือนย่านธุรกิจของเกาะแห่งนี้ ก้าวแรกที่เข้ามาบนเกาะ คุณก็จะพบกับบรรดาร้านเช่ามอเตอร์ไซต์เรียงรายมากมาย อันเนื่องมาจากว่า นักท่องเที่ยวน้อย ทำให้มีรถว่างเยอะ แต่ถ้ามาช่วงฤดูท่องเที่ยวรถอาจจะไม่เพียงพอ

ผมเดินมุ่งตรงไปยังร้านเช่ามอไซค์แห่งหนึ่งตามที่คุณป้าที่เจอที่ท่าเรือแนะนำไว้ ซึ่งราคาไม่ต่างจากร้านอื่น แต่เราดันไปรับปากเค้าไว้ว่า ได้ครับเดี๋ยวไปเช่าร้านป้า ก็เลยตามเลย 

 

หลังจากที่ได้ยานพาหนะที่จะพาเราร่อนทั่วเกาะในราคา 200 บาท ผมก็ขับขี่เริ่มจากด้านซ้ายของเกาะคือ รีสอร์ทที่มีชื่อและหรูที่สุดของเกาะพยาม ไม่มีใครไม่รู้จัก นั้นก็คือ  Bluesky resort 

 

ผมมาที่ Bluesky นี่ไม่ได้มาพัก ผมมาถ่ายรูปด้านหน้าเฉยๆ แต่แอบได้ยินว่า ที่พักเต็มนะครับ นี่ขนาดว่าช่วงมรสุมคนก็ยังจองมาพักกัน 

ถ่ายรูปพอสังเขป อาหารไม่ได้สั่ง ตังไม่มีพัก เกรงใจพนักงาน  ก็ขับกลับมาตรงท่าเรือ เลยไปหน่อยเป็นจุดหมายอันดับสองของเกาะคือ วัดเกาะพยาม

 

จุดเด่นของวัดเกาะพยาม ซึ่งเป็นที่พึ่งพิงด้านจิตใจแห่งเดียวของคนบนเกาะนี้คือ โบสถ์กลางน้ำ ที่มีสะพานทอดยาวไปหาดูสวยแปลกตา โดยหลังจากมาถึงจะพบกับเจ้าถิ่นออกมาต้อนรับจำนวนมากเจ้าถิ่นที่นี้เป็นมิตรครับไม่ต้องกลัว บางตัวนี่พาเราเดินเที่ยวก็มี เสียดายว่าไม่มีขนมติดมาด้วย ไว้รอบหน้านะ 

กลับมาที่มอไซค์เช่า เวลานี้ก็เที่ยงและ ท้องเริ่มหิวอีกครั้งได้เวลาไปยังรีสอร์ทที่จองไว้ ผมขี่รถกลับมาบริเวณท่าเรือเลี้ยวเข้าแยก แล้วตรงไปตามถนนซึ่งมุ่งหน้าข้ามไปอีกฝั่งของเกาะ ชุมชนส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณท่าเรือ ไม่ว่าจะโรงเรียน โรงพยาบาลสาธารณสุขตำบล หรือจุดบริการประชนชาของตำรวจ  ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่เป็นจุดที่คึกคัดสุดของเกาะ

 

ผมขี่รถผ่านมาเรื่อยๆ สังเกตได้ว่า บรรดาร้านค้า ผับ บาร์และรีสอร์ต ต่างปิดกันซะส่วนใหญ่ หรือหากร้านไหนเปิดก็แนวๆ ว่าร่างทีเดียว เพราะนักท่องเที่ยวบนเกาะในฤดูมรสุมนี้น้อยถึงน้อยมากกกกกกก  จึงไม่แปลกที่ร้านกว่า 80% จะปิดกัน ซึ่งที่ปิดกันนั้นเข้าใจว่าปิดชั่วคราวนะ  ผมลองจินตนาการถ้าเป็นฤดูท่องเที่ยว คงเต็มไปด้วยบรรดาผู้คนมากมาย เกาะคงคึกคักมาก แต่การมาช่วงเวลานี้ก็ดีไปอีกแบบมีความเป็นส่วนตัวมาก คือไม่มีคนจริงๆ คิดเล่นๆๆ น่าจะ ไม่เกิน50 ทั้งเกาะ ตีไปว่าอยู่ Blue sky ก็ 30 และ อีก 20 ก็แบบผมเตร็ดเตร่ไปเรื่อย 5555

กลับมาที่การแว้นๆ ของผม ถนนบนเกาะ ส่วนใหญ่ ย้ำนะครับส่วนใหญ่เพราะหลังจากนี้จะเจอส่วนน้อย 555  ส่วนใหญ่ถนนของที่นี้เป็นคอนกรีตปูนครับ กว้างประมาณรถยนต์หนึ่งเลน แต่ที่นี่ไม่มีรถยนต์วิ่งนะ  มีแต่มอไซต์เนี่ยแหละ หรือไม่ก็มอไซต์พ่วงข้าง พ่วงท้าย อันนี้ก็ต้องระวังหน่อย

 

ผมขี่ไปพลางดูแผนที่ไปพลาง ถามทางพลาง จนมาถึงรีสอทที่จองชื่อ JJ Beach resort และด้วยความมาคนเดียวอยู่ง่ายกินง่าย ผมก็จองเป็นเต้นท์ แบบกางในศาลาครับ ซึ่ง JJ เนี่ยเค้าตั้งอยู่ที่อ่าวใหญ่ที่เป็นหาดที่ใหญ่ที่สุดของเกาะตามชื่อนั้นเอง แต่ก็เป็นฝั่งที่รับมรสุมเต็มๆ ทำให้ที่นี่ค่อนข้างลมแรง

 วังเวงอ้างว้าง in JJ

ต่อไปนี้ผมขอเรียกรีสอร์ทแห่งนี้สั้้นๆ ว่า JJ นะครับ ชื่อมันยาว 5555 เมื่อขี่เข้ามาจะพบว่าทางเข้านั้นเพียงพอให้คนตัวใหญ่เดินเท่านั้น สองข้างทางเป็นป่า ป่าจริงๆ วังเวงมาก ตอนเข้ามานึกว่าเข้าผิดถึงกับขี่กลับไปถามชาวบ้านแถวนั้น 555 ขี่เข้ามาไม่นานก็เจอกับลานจอดมอไซค์ ก่อนจะถึงจะผ่านอุปสรรคนิดๆ นั้นคือถนนทราย  หากใครเคยขี่มอไซค์บนทรายจะทราบว่าการทรงตัวนั้นมันยากเพียงใด แต่อีกมุมนึงมันครับ 555

ทันทีที่ดับเครื่อง ความเงียบก็ปรากฎขึ้น ไม่มีรถสักคัน ตรงหน้ามีบังกะโลที่ไม่มีวี่แววว่ามีคนพัก ผมสะพายกระเป๋าเสื้อผ้าเดินไปตามทางที่มุ่งหน้าสู่ทะเลเพื่อหาเจ้าหน้าที่เพื่อทำการเช็คอิน จนมาถึงร้านอาหารหน้าหาด มีแม่ครัวอยู่ 1 คนกับผู้ดูแล 1 คนจึงได้ทำการเช็คอิน 

ผู้ดูแลพาผมไปยังห้องพัก ผู้ดูแลบอกกับผมว่า วันนี้ไม่ค่อยมีคนพัก จึงอัพเกรดให้ผมนอนบังกะโล  แต่ด้วยว่า กลางวันอาจจะเสียงดังหน่อยเพราะบางห้องกำลังปรับปรุงเพื่อรอฤดูกาลท่องเที่ยวถัดไป ดีใจสิครับ นอนสบายกว่าเดิม นึกว่าจะมีแอร์ ป่าวบังกะโลที่นี่ทุกหลังเป็นพัดลม5555  แต่มองซ้ายมองขวา ไม่มีแขกคนอื่นเลยยยยย แถมบริเวณรีสอร์ทเป็นต้นไม้สูงใหญ่ร่มรื่นทั้งนั้น ได้อารมณ์ดีจริงๆ

เมื่อเข้ามาในห้องก็แอบหลอนนิดๆๆ ห้องน่าจะตกแต่งเอาใจฝรั่งที่ชอบของแบบ local ๆๆ บังกะโลนึงสามารถนอนได้ถึงสามคน ห้องน้ำยังกึ่งๆ outdoor อีกด้วยโอ้ววว แม่เจ้า บรรเทิงล่ะคืนนี้ 55555

เก็บของเรียบร้อย จึงอาบน้ำอาบท่าที่ไม่ได้สะสมมาตั้งกะแต่เมื่อวานเย็น แล้วจึงออกไปกินข้าวที่สั่งแม่ครัวเอาไว้ตั้งแต่ตอนเช็คอิน ไหนๆ มาถึงเกาะหวังจะได้กินอาหารทะเล ก็ได้กินจริงๆ แต่มาคนเดียวจะให้สั่งกุ้งเผา ปลานึงมะนาวก็ใช่เรื่อง เราเที่ยวแบบประหยัดก็มาจบที่กระเพราทะเล

เห้ยยย เบสิกเนี่ยแหละ อร่อยมากๆๆ ไม่น่าเชื่อ สำหรับค่าเสียหายก็ร้อยนึงไม่มากไม่น้อย ระหว่างนั่งกินข้าวก็ได้เจอกับคู่รักคนไทยอีกคู่ซึ่ง ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในรีสอร์ทร้างแห่งนี้ 555 ให้พออุ่นใจบ้าง  กลับมาที่ร้านอาหาร ร้านอาหารของรีสอร์ทก็ดี้ดี  วันวันนึงเค้าน่าจะขายข้าวไปไม่เกินห้าจาน แต่เค้าก็เปิดและมีของกินให้เลือกหลากหลายมาก แถมยังอร่อย แม่ครัวทำอยู่คนเดียวเนี่ยแหละ จำชื่อพี่แกไม่ได้ ไปนั่งคุยกะแกอยู่พักนึง  เป็นเรื่องปกติของช่วงนี้ที่แขกจะน้อย 

ทัวร์รอบเกาะจริงๆจังๆ

เมื่อเติมพลังเรียบร้อยผม กลับมาพักที่ห้องนอนเล่นตากพัดลมสักพัก บ่ายสองเห็นจะได้  ได้เวลาตะลุยทั่วเกาะกัน โดยรอบนี้ จะตะลุยอีกฝั่งของเกาะ ชุดพร้อม กล้องพร้อ มรถพร้อมก็ลุยกันต่อ  ผมขี่รถออกมาจากรีสอร์ทก็สังเกตเห็นรีสอร์ทตรงข้ามกับ JJ ซึ่งรีสอร์นี้ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกของผมตอนจอง แต่ภาพตรงหน้าคือไม่มีคนเลยน่าจะปิดชั่วคราวอยู่ ดีนะไม่จองมา 555

จุดแรกที่ผมมาคือ อ่าวเขาควาย ที่มีรูปหาดเป็นเหมือนเขาควายตามชื่อ ผมขี่เข้ามาในซอยเปลี่ยวๆ ไร้วี่แววผู้คน ต้นไม้ต้นหญ้าสองข้างทางค่อนข้างรกตาบ้าง จนมาสุดทางปูนคือชายหาด ผมจอดรถมองรอบๆ … มันยอดจริงๆ บรรยายไม่ถูก น้ำสีฟ้าถึงแม้ไม่ใสมากเพราะมีบรรดาเศษใบไม้กิ่งไม้อันเนื่องมาจากฤดูมรสุม ท้องฟ้าเวลานี้มีเมฆบ้างแต่น้อย ด้านขวามือมีหินทะลุอันเป็นเอกลักษณ์ของหาดแห่งนี้  และยังมี ต้นไม้ ที่แผ่กิ่งก้านเข้ามาในชายหาดพร้อมกับชิงช้า ที่เป็นจุดเช็คอินในกับนักท่องเที่ยว ที่สำคัญไม่มีคนเลยสักคน   โอ้วววววว สวรรค์ชัดๆๆๆ แทบอยากจะอยู่ที่นี่ไปตลอดเลยเงียบสงบ สิ่งมีชีวิตที่เห็นก็จะมีแค่ครอบครัวหมา แม่กะสองลูกน้อยที่คอยวิ่งเล่นกันสนุกสนาน (รูปด้านล่างคือหลังจากมันวิ่งจนเหนื่อยแล้วนะ 555)

ณ เวลานี้ ผมนั่งชิงช้าแกว่งไปมาปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสายลมและเสียงคลื่น จนตกหลุมรักที่แห่งนี้อย่างบอกไม่ถูก มันยากเกินจะบรรยายจริงๆ นี่แหละข้อดีของการมาวันธรรมดา และนอกฤดูการ ถึงเห็น ททท พยายามโปรโมท เที่ยววันธรรมดาสุขสันต์ยิ่งนัก (มั้ง 55555)

หลังจากพยายามดึงตัวออกจากหาดเขาควายเพื่อที่จะออกแว้นต่อด้วยความยากลำบาก ผมก็พาตัวเองมายังสถานที่ถัดไป โดยจุดมุ่งหมายเวลานี้คือ หาอะไรเย็นๆ ดื่ม ซึ่งอย่างที่บอกในตอนแรกผมติดตามรายการติดเกาะของคุณเรย์เนาะ ก็ทำให้ผมทราบว่า ที่นี่มีบาร์ฮิบๆอยู่ ชื่อฮิบปี้บาร์ ผมจึงไม่พลาดที่จะไปเยือน ว่าแต่ มันไปทางไหนเนี่ยgoogle ได้แต่ปักจุดแต่ไม่มีถนนให้ขับ 555 งั้นลอง เลาะๆๆไปก่อนล่ะกัน

ผมขี่มอไซต์เรื่อยๆๆ จนมาสุดทางปูน ซึ่งหลังจากนี้คือทางดินแบบหินรุกรังพร้อมกับทางชันขึ้นเขา ผมจอดและถามพี่ๆชาวเกาะที่ไม่ได้ขายกะทิว่า  “พี่รู้จักร้านที่เป็นเหมือนเรือร้างๆ ไหมครับ”

 แน่นอนครับ ตอนนั้นผมลืมชื่อร้าน พี่เค้าก็งง บอกว่าไม่รู้จัก ผมจึงเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า แล้วแถวนี้มีอะไรน่าแวะไหมครับ  พี่ๆชาวเกาะทั้งสองจึงแนะนำว่า “ขี่ขึ้นไปเลยน้องเนี่ยหาดเนี่ยสวยสุดในเกาะแล้วชื่อหาดกวางปี๊บ”  “ขอบคุณครับ” โอ้ววว หาดอะไรชื่อแปลกยิ่งนัก

 

ผมคว้ามอไซต์เดินทางต่อ แต่ทางที่จะไปต่อจากนี้มันทรหดมาก หากใครขี่ไม่แข็งอันตรายครับ บางช่วงของทางเป็นเหว หลุดไปมีกลิ้งบาดเจ็บแน่นอน พอเข้ามาได้ครึงทางจึงนึกถึงบางรายการว่าตรงนี้เค้ามาโดยเดินมา แต่ชาวบ้านเค้าขี่มอไซค์เข้ามาได้ เอ้อ ไม่เป็นไรไหนๆๆ ก็มาแล้ว ลุยกันต่อ แต่ถ้าคนขี่ไม่แข็งแนะนำช้าๆๆ ครับ ปลอดภัย ถ้าให้เดินก็ไกลเกิ้นนนน

หลังจากผ่านช่วงวิบาก มาประมาณสองร้อยเมตรได้ก็สุดทาง โดยสุดทางที่นี่เป็นรีสอร์ทครับ เหมือนจะมีนักท่องเที่ยวมาพักแค่ หลังสองหลังเท่านั้น  ร้านอาหารของรีสอร์ทก็ปิดเช่นกัน เดินทะลุรีสอร์ทมาก็จะพบกับหาดกวางบี๊ปที่พี่ๆชาวเกาะสองท่านบอกสวยสุดในเกาะ สำหรับผมจริงครับ น้ำใสสีเขียว ลมไม่ค่อยมี แต่ผมไม่ค่อยชอบหาดที่นี่เท่าไหร่เพราะทรายออกสีแดง ผมจึงชอบอ่าวเขาควายมากกว่า แต่หาดนี้น่าจะเหมาะกับการเล่นน้ำ แต่เวลานี้ถ้าจะให้ลงน้ำไหม้แน่นอน 555  ถ่ายรูปไม่นาน ทนแดดร้อนไม่ไหว จึงควบมอไซค์ผ่านทางวิบากเพื่อตามหาร้านเรือร้างกันต่อ

ฮิปปี้บาร์ บาร์ฮิปๆๆ ตามชื่อน่ะแหละ

ในที่สุดผมก็มาถึง ร้านที่เหมือนเอาซากเศษไม้มาตอกๆๆประกอบกันเป็นร้าน ผมพบกับพี่ชาวเกาะอีกสองท่าน เอ้อที่เรียกพี่ชาวเกาะเพราะพี่ชาวเกาะที่นี่ จะนุ่งโสร่งตัวเดียวเดินไปมา ผมเจอพี่สองท่านอยู่บนหลังคากำลังตอกไม้จึงเข้าไปสอบถามว่า ร้านเปิดอยู่หรือเปล่าครับ พี่ๆจึงตอบกลับมาว่าเปิดครับ เคร งั้นเดินเข้าไปเลย ในร้าน ณ เวลานั้น ไม่มีคนเลยยยยยยยยยย  แต่ร้านแบบว่าสวยมาก แนวมาก คนชอบถ่ายรูปต้องชอบแน่ๆ พี่ๆชาวเกาะทั้งสองลงมาจากหลังคาแล้ว ทำให้ผมรู้ทีหลังว่า หนึ่งในสองนั้นคือเจ้าของร้าน 

ผมเข้าไปถามว่า พี่เจ้าของร้านว่ามีอะไรเย็นๆไหมที่ไม่มีแอลกอฮอ พี่บอกว่า พี่ไม่แนะนำพีมีแค่โค๊ก งั้นผมเอาอะไรก็ได้ตามที่พี่แนะนำละกัน ค๊อกเทลก็ได้ พี่เจ้าของจึงจัดค๊อกเทลให้หนึ่งแก้ว เพิ่มแอลกอฮอเพื่อความสดชื่น 555  ระหว่างรอก็เดินชมวิวถ่ายรูปร้าน ร้านนี้เป็นของตูจะนั่งตรงไหนๆก็ได้วะหะหะหะ ไม่ว่าตรงไหนก็แนวไปหมดชอบจริงๆ ถ้ามาเย็นๆ หรือมาปาตี้กับเพื่อนๆที่นี่คงดีไม้น้อย 

ถ่ายรูปจนสะใจก็กลับมานั่งคุยกับเจ้าของร้านและเพื่อน คุยไรไปเรื่อยเปื่อย จึงทำให้ททราบว่า บรรดาโต๊ะทที่นั่งที่นี่หาดเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวแทบไม่มีที่นั่งกันเลยทีเดียว  นั่งไม่นานก็มีนักท่องเที่ยวคู่นึงเป็นคนที่สองและสามของวันของร้าน เดินเข้ามาพูดคุย ก็คุยกันไปเรื่อย เหมือนท่านทั่งสองจะตามหาที่พักซึ่งปิดกันหมด ผมจึงแนะนำJJ ไปเผื่อว่าจะได้เพื่อนในรีสอร์ทให้อุ่นใจเพิ่มขึ้น 555 

คุยไปคุยมาพี่เจ้าของร้านก็บอกไว้มืดๆมาใหม่สิสวยนะบรรยากาศดีมานั่งฟังเพลง ผมจึงตอบไปว่าขอดูก่อนละกันครับถ้ามีโอกาสก็จะมาอีก

หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาสชิกๆ ร่างกายผมเริ่มร้อนๆอันเนื่องมาจากฤทธิ์แอลกอฮอของเครื่องดื่ม จ่ายเงินเรียบร้อย ผมก็แว้นกลับมายังที่พัก JJ เพื่อมาเดินเล่นยามเย็นที่อ่าวใหญ่แบบจริงๆ จังๆ

คืนนี้มันช่างยาวนาน

ผมกลับมาถึงหาดก็ตรงมายังหน้าหาด รีสอร์ทก็ยังเงียบไม่เห็นแขกผู้มาพักเหมือนเดิม วันนี้คงมีแขกแค่สองห้อง ห้องผมกับอีก หนึ่งคู่รัก ก่อนมาผมมะโนถึงภาพผมนั่งเล่นฟังเพลงชายหาดดู ฝรั่งเล่นน้ำในชุดบิกินนี่ แต่ฝันนั้นก็สลาย เพราะไม่มีใครเลย 5555  แต่ผมยังทำสำเร็จอย่างคือนั่งชมบรรยากาศยามเย็นของอ่าวใหญ่กับฟังเพลงไปชิลๆ ไป และแจ้งกับแม่ครัวสำหรับมื้อเย็นของผมในวันนี้ซึ่งหนีไม่พ้นข้าวผัดทะเลอาหารจานเดียว 

พูดกันเรื่องอาหารจานเดียวของที่นี่ จานละร้อยครับแต่อย่างที่บอก อร่อยดี นับว่าราคากำลังดีสำหรับอาหารทะเลบนเกาะ ระหว่างนั้นผมก็เดินเล่นบ้าง แอบดูรีสอร์ทข้างๆ ตามชายหาดต่างปิดกันหมด จึงไร้วี่แววผู้คนบนหาดมีแต่หมาเท่านั้นที่พบเจอ 5555

 

และแล้วพระอาทิตย์ก็ตก ฟ้าเริ่มมืดแสงที่มีกลายเป็นแสงจากหลอดไฟแทน ผมกินข้าวเรียบร้อยก็กลับมาที่ห้องเพื่ออาบน้ำ ไม่นานฟ้าเริ่มร้องละฝนก็ตก แผนที่จะขี่รถกลับไปที่ฮิปปี้บาร์จึงล้มไป สำหรับวันนี้จึงหมดแค่นี้ มองซ้ายมองขวา ไม่มีคนเลย บังกะโลติดๆๆกับต่างมือสนิท เอาละวะนอนคนเดียว ไม่รู้ว่าอีกห้องน่าจะอยู่บังกะโลถัดๆๆ ไปซึ่งก็จริง ผมเป็นคนเดียวห้องเดียวที่อยู่ใกล้หาด อีกห้องอยู่ลึกเข้าไป

อากาศคืนนี้ไม่ร้อนครับเปิดพัดลมไปนอนฟังเพลงไป ทีวีไม่มีนะครับที่นี่เป็นน่าจะเป็นไฟปั่นแลดูไฟไม่เพียงพอ มีตกๆๆให้หลอนๆ ไปบ้าง

นอนสักพักไฟดับ วู๊บบบ ทุกอย่างมืดมิด “เ_ี๊ย..เว้ยๆๆๆ  เอาแล้วไง” ผมได้อุทานในใจ  ผมเลยต้องคว้าเอาพัดลมมือถือกับเปิดไฟจากโทรศัพท์ เพื่อเพิ่มแสงสว่างให้อยู่เป็นเพื่อน ไม่นานไฟถึงกลับมา

สี่ทุ่มก็แล้ว ห้าทุ่มก็แล้วทั้งที่เมื่อคืนขับรถมาทั้งคืน ผมได้แค่หลับๆตื่นๆ ได้ยินเสียงนู้นนี่นั้นรอบๆ และไม้พ้นเสียงที่ได้ยินเหมือนคนเดินที่ระเบียงหน้าบังกะโลแต่ไม่คิดไรมากแค่หลับๆตื่นๆกันไปยันเช้าาาาาาาาาา

ผมหลับๆ ตื่นๆยันตีห้า เสียงที่ระเบียงก็ยังไม่หายไปยังคงมีเสียงให้ได้ยินเรื่อยๆ จนต้องลุกมาเปิดประตูดู อีกแล้วครับ หมาประจำรีสอร์ทมานอนเป็นเพื่อนหน้าประะตู เอิ่มมม จะมาก็ไม่บอก หลอกให้หลอนทั้งคืน  

กลับขึ้นฝั่ง

เช้าวันใหม่ อาจจะดูไม่สดชื่นนักสำหรับผม อันเนื่องมาจากเมื่อคืนผมหลับๆตื่นๆ มื้อเช้านี้ก็ไม่พ้น  ร้านอาหารของรีสอร์ทครับ ผมสั่งข้าวต้มปลาแม่ครัวท่านเดิมก็ยังรักษามาตฐานไว้เช่นเดิม วันๆนึงเค้าขายได้กี่จานเองนะ ดูจากที่จะมีแค่แขกที่พักเท่านั้นที่สั่งข้าวกับร้าน ไม่มีคนนอกมาทานเลย

ระหว่างทานข้าวผมก็รู้จักกับหมาสองตัวหนึ่งในสองคือตัวเดียวกับที่นอนเ้าหน้าห้องผม(บนเกาะนี้หมามันช่างเยอะจิง) เมื่อผมทานข้าวเสร็จผมขี่มอไซต์กลับเข้าไปยังชุมชนเพื่อหาขนมและผมก็ได้ขนมกลับมาให้เจ้าหมาทั้งสอง เพื่อเป็นการขอคุณที่เมื่อคืนมานอนเป็นเพื่อนนั้นเอง(คราวหน้าจะมาก็ส่งเสียงบอกหน่อยนะอย่าให้หลอนทั้งคืน 555)

ผมอาบน้ำอาบท่าเก็บของ รีบไปยังบริเวณท่าเรือเพราะวันนี้ ผมจองตั๋วกลับฝั่งแต่เช้า แต่ก่อนไปถึงท่าเรือผมขอแวะที่อ่าวเขาความอีกครั้งเพราะ ที่นี่ขึ้นชื่อว่าจะได้เห็นนกเงือกตามธรรมชาติมาก เสียดายเวลาเดินหาน้อย สุดท้ายจึงไม่เจอสักตัว ผมเลยขี่รถกลับมาบริเวณท่าเรือ

จัดแจงคืนมอไซค์เสียค่าน้ำมันอีกสี่สิบ ไปนั่งรอเรือ speed boat มารับกลับฝั่ง เหมือนเดิมวันนี้ลูกค้าก็ยังโหลงเหลง บ๊ายบายเกาะพยาม ขอบคุณที่ให้ประสบการณ์ดีๆ ไว้มีโอกาสสัญญาว่าจะกลับมาเยือนอีกครั้ง 

จบแล้วกับ Part แรก ไว้กลับมาต่อ Part หลัง ขอแบ่งเป็นสองpart จะได้ไม่ยาวจนเกินไป ขอบคุณที่อ่านกันจนจบครับ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เจอกันใน Part หลังนะครับ ^^

ปล ขอบคุณนายแบบด้านบนด้วยครับท่าเท่เจรงๆๆ