จุดเริ่มต้นของการเดินทาง
ย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือนมีนา 2016 ผมกับเพื่อนๆ คุยกันว่าปีหน้าเราจะไปไหนกันดี แล้วพวกเราก็ได้ทำการตกลงจับจองตั๋วโปร Thai air asia x เดินทางไปโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น แต่เวลาผ่านใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เพื่อนๆ ที่ร่วมจองตั๋วต่างติดภารกิจ จนสุดท้ายก็เหลือผมคนเดี
ผมซึ่งค่อนข้างเสียดาย ไม่อยากทิ้งตั๋วจึงบอกกับตั
ผมแทบไม่คอยได้อ่านรีวิวเลย ทั้งๆที่มีมากมาย ผมเพียงแต่หาว่าจะไปไหนดี เป้าหมายคงเป็นสถานที่ยอดฮิต แต่ก็อยากมีความแตกต่างจากคนอื่
เตรียมตัวเก็บกระเป๋า
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการเดิ
หลังจากเคลียร์เรื่องการเดิ
จากครั้งก่อนนั้นผมเลือกที่พั
การเตรียมตัวอีกคือ ทำเส้นทางการเดินทาง ด้วยระบบรถไฟของญี่ปุ่นค่อนข้างซับซ้อน ถ้ามั่วๆไปไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ เครื่องมือที่คนที่เที่ยวญี่ปุ่นหรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเองนิยมคือ Hyperdia เจ้าเว็บนี่แหละ เราแค่ใส่ต้นทางปลายทาง เดี๋ยวมันจะจัดมาให้หมด ไปทางไหนเร็ว ขึ้นอะไร ต่ออะไร
ผมใช้ Hyperdia ในการวางแผนสถานที่ ที่จะไปคร่าวๆ พร้อมกับดูศึกษาแผนที่ เพื่อไม่ให้หลง
ออกเดินทาง
และก็ถึงวันออกเดินทางงงงงง ผมเดินทางด้วยสายการบินแอร์
บ้านผมอยู่ใกล้สุวรรณภูมิ ไม่ชอบเลยที่ต้องมาขึ้นเครื่
บนรถ shuttle bus มีผู้คนหลากหลายสัญชาติมาก ระหว่างที่เดินทางออกจากสุ
“โอ๊คคคคคค” คนทั้งรถต่างหันมามองสาวชาวตะวั
คนในรถช่วยกันสอบถามอาการกั
เสียงอ้วกยังคงมาเป็นระยะๆ ในใจคิดได้อย่างเดียว จะกลายร่างเป็นซอมบี้ไหม เราจะหนียังไง ทุบกระจกหนี แล้วอยู่บนทางด่
ถึงสนามบินก่อนเวลาประมาณสี่ ชม. ใช้เวลาที่มีจัดการซื้อซิม intetnet ที่จะไปใช้ที่ญี่ปุ่นนน ไม่ต้องซื้อซิมที่นู้นนน ไม่ต้องเช่าไวไฟ ซื้อมันที่นี่แหละราคาไม่แพง ซึ่งเจ้าซิมที่ว่านี่คือ ais sim2fly ถูกใจนักเดินทางแน่นอน เพราะราคาไม่แพง 399 3 GB ใช้งานได้ 8 วัน กับประเทศท่องเที่ยวยอดนิยมเช่
หลังจากได้ซิมเวลายังเหลือ ขอไปนั่งกินAmazonทำใจ ชาร์ตแบตมือถือยาวๆ จนถึงเวลาเช็คอิน ทุกอย่าง เป็
มาถึงด่าน ตม.แบบ autogate คนเยอะมากๆๆ พอคิวจึงได้รู้ว่า เครื่องมันไม่ค่อยอ่าน แถมพนักงานมีคนเดียว โอ้แม่เจ้า เสียเวลามากกกกกกก
และแล้วก็มาถึง gate เครื่องบินมาจอดอยู่นานและ นั่งเล่นไม่
กระเพราไก่ไข่เจียว อยากลองมานานและ กินบนฟ้ากระเพราจะอร่อยแค่ไหน 555 ผมพบว่าก็อร่อยดีแฮะ เสียอย่างได้น้อยมาก แค่ครึ่งท้อง ฮ่าๆๆๆ นอกจากอาหารแล้วผมยังโหลดนู้นนี่
พูดเรื่องเครื่องบินบ้าง วันนี้ผู้โดยสารโหลดไม่เต็ม ที่ข้างๆผมว่าง นั่งค่อนข้างสบายถึงแม้เบาะจะ คับแคบกว่า full service แต่ก็ดีที่ไม่มีคนนั่งข้าง 555
ก้าวแรกบนดินแดนอาทิตย์อุทัย
ผมถึงสนามบินนานาชาติคันไซค่
รถไฟญี่ปุ่น
ผมแบ่งบริษัทรถไฟญี่ปุ่นออกเป็
แบบแรก รถไฟค่าย JR ค่ายนี้เหมือนกับการรถไฟของญี่
แบบต่อมาแบบที่สอง
รถไฟสารพัดเอกชน อันนี้ชื่อก็บอกของเอกชน มีหลากหลายสายหลายผู้ใหบริการ เส้นทางส่วนใหญ่คล้าย JR นะ แต่สถานีจะค่อนข้างถี่กว่า มักจะเป็นเส้นทางระหว่างเมือง ในแต่ละเส้นทางก็จะมีระบุขบวนว่
แบบสุดถ้าย Subway ของแต่ละเมือง หรือนั่นก็ตือรถไฟใต้ดิ
ถึงเวลาเข้าเมืองงงง
กลับมาที่สนามบิน การเข้าเมืองโอซาก้าโดยรถไฟมี
จองได้ที่ >>> http://www1.nanka-e-tabi.com/NEREN/ItemDetail.aspx?tc=IB4AOSKIXWTT&sk=1
เค้าเตอร์ nankei หาไม่ยากจะถูกแบ่งชัดเจนกับ JR นอกจากจะนำ Voucher มาเปลี่ยนเป็นตั๋วแล้ว ผมตั้งใจจะมาซื้อตั๋ว KTP แบบสามวัน ที่นี่ด้วย
สำหรับตั๋ว KANSAI THRU PASS จะเป็นตั๋วที่ใช้นั่งรถไฟ ใต้ดินรถไฟเอกชน รวมถึงรถเมลในเขตคันไซ มีทั้งแบบสองวันและสามวัน โดยสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องวันติดกัน และเมื่อซื้อเสร็จจะได้แผนที่พร้
รายละเอียดเพิ่มเติม >> http://www.surutto.com/tickets/kansai_thru_english.html
กลับมาที่สถานี ผมเดินตามป้ายบอกทางเพื่อไปตามชานชลาตามที่ตั๋วระบุ โดยตั๋วของเราจะระบุขบวน เลขที่ตู้รวมถึงที่นั่งอย่างละเอียด เพราะฉะนั้นเราต้องดูให้ดีเดี๋ยวจะขึ้นผิดเอา
สำหรับเจ้ารถไฟ Rapi:t เนี่ยเค้าจะมีเอกลักษณ์ของเค้าคือหัวรถไฟจะหน้าตาคล้ายกับหมวกนักรบโรมัน แต่ผมว่าหน้าตามันค่อนข้างอุบาทๆนะ 555
โคตรหนาว
ไม่ต้องตกใจกับหัวข้อบทนี้ มันหนาวจริงๆอุณหภูมิแค่7-8 องศา ลมพัดก็ซะท้านน ผมรีบเดินออกจากสถานีนันไคนั
ผมรีบทำการเช็คอิน หลังจากนั้นสตาฟได้สั่งสอนเอ้ย ชี้แจงข้อแนะนำต่างๆ แล้วจึงให้กุญแจล๊อกเกอร์มา หนึ่งในคำแนะนำแจ้งว่า สตาฟจะไม่อยู่ที่เค้าเตอร์หลั
ข้างๆ ที่พักมี lawson ร้านสะดวกซื้อสัญชาติญี่ปุ่น ที่ร้านมีที่นั่งทานอาหารด้วย ผมเข้าไปในร้าน และมื้อแรกช่วงดึกของผมคือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรานิชชิน เติมน้ำร้อนให้รอไม่นานก็ได้อิ่
แคปซูลโฮเทลล
shell nell numba เป็นที่พักสไตล์ capsule hotel ซึ่งจะแตกต่างจาก Hostel ที่ผมเคยพักผ่านๆมา Hostel นั้น จะได้บรรยากาศ เหมือนการพักเพื่อหามิตรภาพมากกว่า ส่วน shell nell รูปแบบเหมือนกับพักใครพักมัน โดยเราจะได้รับ กุญแจ locker พร้อมกับ key tag เพื่อใช้ในการเข้าห้อง
ประตูจะถูกแบ่งแยกชายหญิงตั้งแต่ทางเข้า ผ่านประตูเข้าไปจะถึงห้อง locker โดยจะตรงกับตู้นอนของเรา สิ่งที่ผมแปลกใจอย่างมากคือ กระเป๋าชุดเครื่องอาบน้ำซึ่งทาง shell nell จะเตรียมไว้ในกระเป๋าให้เรียบร้อยอยู่ในห้องล๊อกเกอร์ ในกระเป๋าจะมีอุปกรณ์ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดผม แปรงสีฟันยาสีฟัน รองเท้าสลิปเปอร์ และสิ่งที่ทำให้แปลกใจคือชุดนอน เค้าเรียกว่า relax wear เป็นชุดนอนแบบตัดเย็บอย่างง่ายๆ ไม่แน่ใจว่าใช้งานครั้งเดียวหรือเปล่า ปักโลโก้ของที่พักด้วย เดินเข้าไปจึงเห็นแขกผู้มาพักใส่ชุดเหมือนๆกันหมดเลยฮ่าๆๆๆ อีกอย่างที่ทำให้พอใจคือ ทั้งผ้าเช็ดตัว สลิปเปอร์ รวมถึงชุดอาบน้ำทั้งหมด จะเปลี่ยนใหม่หมดทุกวันครับ ตรงนี้ปกติโฮสเทลจะไม่มีบริการ โฮสเทลจะให้บริการเฉพาะที่นอนอย่างเดียว
ถัดจากห้อง locker ฝั่งซ้ายจะเป็นห้องน้ำ สะอาดใหม่ ดูดีครีมโฟมครบครัน มีทั้งโถส้วมและโถปัสสวะ ฝั่งซ้ายจากห้อง locker จะเป็นห้องอาบน้ำและแต่งตัว ซึ่งshell nell นี้ก็จัดเต็มเหมือนเดิมไม่ว่าจะครีม ที่โกนหนวด after shape ไดเป่าผม ทุกอย่างใช้ของคุณภาพดี
และหากเดินตรงจาก ห้อง locker เข้ามาจะเป็นส่วนห้องนอน เป็นตู้ๆ ด้านหน้าจะมีสวิตเปิดปิดระบบในห้องซึ่งเมื่อกดแล้วจะแสดงสถานะไฟด้วย บ่งบอกว่ามีคนอยู่นะ ไรแบบนี้ โดนหมายเลข capsule เราจะตรงกับตู้ locker ด้านในห้องจะมีระบบไฟสองชุด ชุดปกติ กับชุดที่ปรับหรี่ได้ หัวเตียงจะมี port usb ให้ 1 port ปลั๊กไฟอีก 1 ที่วางของเล็กๆ ด้านขวาจะเป็น นาฬิกากับแผงความคุมไฟ นาฬิกาสามารถตั้งปลุกได้ด้วย ด้านซ้ายจะมีจอทีวีเล็กๆพร้อมรีโมท แต่เท่าที่เห็นไม่ค่อยมีคนดูก่อน ส่วนใหญ่แขกที่มาพัก มักเป็นนักท่องเที่ยวที่กลับมาดึกและออกแต่เช้ากัน
โดยรวมแล้วshell nell numba ถือว่าเหมาะกับขา backpacker มากเลยทีเดียว ด้วยราคาไม่แพง (1000บาทต่อคืน) เดินทางสะดวกไม่ไกลจากรถไฟฟ้า ห้องพักสะอาด ใกล้ตลาดมากของกินหาง่าย อุปกรณ์ครบครับ(ตูแบกชุดนอนผ้าเช็ดตัวจากไทยมาทำไมกันนน ไม่ได้ใช้เลยยยย) แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย ข้อเสียของที่นี่คือโครงสร้างตู้ทำจากเหล็กและไม้ทำให้ เสียงค่อนข้างดังไปยังห้องข้างเคียงเพียงแค่ขยับตัว -_-”
คืนแรกของผมที่นี้หลับสบายครับ อากาศข้างนอกหนาวข้างในอบอุ่น มีผ้าห่มหนาๆ ในห้องพักเงียบมากกกกกก เพียงแต่ว่าใกล้ๆเช้า เสียงกรนจะมีให้ฟังกันเพลินๆ แต่โดยรวมหลับสบายครับ ฮ่าๆๆๆๆ
เยือนถิ่นเมืองเก่าเกียวโต
เช้าวันที่สองของผมมีแพลนที่จะไปเที่ยวเมืองเกียวโต ก็หาข้อมูลเลยที่ไหนมีที่น่าเที่ยวบ้าง ก็ทราบมาว่าวัดคิโยมิซึอยู่ที่นี่ จึงเลือกที่นี่เป็นสถานที่แรกที่จะเดินทางไป ถามว่าทำไมถึงอยากไป เพราะเคยมีคดีฆาตกรรมในโคนันครับ 5555 แถม pass แบบ kansai thru pass ซื้อมาก็แพงไปได้ไกล ไหนๆก็ไหนๆนั่งรถไฟให้คุ้ม 555
ผมเดินมาถึงสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อที่จะเดินทางไปต่อรถไฟเอกชนไปเกียวโต โดยรถไฟเอกชนไปเกียวโตมีสองเจ้าคือ Hankyu และ Keihan สามารถเลือกได้ตามความสะดวก โดยขาไปนี้ผมเลือกนั่ง สาย Hankyu โดยสิ่งที่เราจะต้องดูเพิ่มจาก จุดหมายปลายทางคือ ชนิดของขบวนรถ หากเป็นรถไฟใต้ดินในเมือง จะวิ่งใกล้ๆจอดทุกสถานี แต่หากเป็นรถไฟเอกชนวิ่งไปต่างเมือง ซึ่งจะผ่านสถานีรถไฟเยอะมาก เพราะฉะนั้นผมก็ต้องมาดูว่า สายนี้มีรถไฟชนิดไหน ปลายทางอยู่ที่สถานีไหน แล้วก็เลือกขบวนที่จอดน้อยๆ เช่นพวก express หรือ Limited นั้นเอง(แต่พวกขบวนด่วนก็นานๆมาทีนะ)
นั่งรถไฟประมาณ 40 นาทีผมก็มาถึงเมืองเกียวโต ที่นี้อากาศก็หนาวเหมือนเดิม แต่เพิ่มมาอีกอย่างคือท้องหิว ก็ตั้งแต่ออกจาก รร. ยังไม่ได้กินไรเลย นี่ก็สายแล้วด้วย ผมเดินมุ่งหน้าไปทางวัดคิโยมิซึ ระหว่างทางเห็นร้านข้าวหน้าเนื้อ แปะราคา 600เยน เข้าเลยครับไม่รอ ก็จัดเลยข้าวแกงกระหรี่+ข้าวหน้าเนื้อในชุดเดียวราคา 700 เยน อิ่มอร่อย และคุ้มมากกกกก 5555
หลังจากเติมพลังแล้วก็ได้เวลาเดิน หากคนช่ำชองน่าจะสามารถนั่งรถเมลต่อได้ แต่ผมด้วยความที่ภาษาไม่ได้ ขอเดินละกัน โลนิดๆเอง แต่ขึ้นเขานี่สิ โดยระหว่างทางก็ชมบ้านเมืองเกียวโตไปด้วย แต่ส่วนใหญ่ร้านค้ายังไม่เปิดนะ
บริเวณวัด จะเหมือนมีถนนคนเดินโบราณซึ่งบ้านเรือนสไตล์โบราณ ดูสวยงามมากครับ อีกทั้งสาวๆญี่ปุ่นรวมทั้งนักท่องเที่ยวมันจะเช่ากิโมโน ถ่ายรูปและเดินไปไหว้พระกัน ซึ่งที่นี้ผมชอบนะ ของกินก็เยอะ สาวๆก็น่ารัก ที่สักเกตุอีกอย่าง นักท่องเที่ยวเกาหลีเยอะมากกกกกกก
เดินมาเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ถึงวัดครับมองจากด้านล่าง ก็เห็นชัดว่า วัดในส่วนอาคารหลักมีการปรับปรุงอยู่ อาจจะทำให้ผิดหวังเล็กน้อย แต่ผมก็พอทราบข่าวมาบ้างเหมือนกัน แต่ก็ยินดีที่จะมา
ผมเข้าไปถ่ายรูปที่วัดไม่นานก็ลงมาด้านล่าง ซึ่งผมว่า จุดที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือถนนคนเดินโบราณนี่แหละ ผมประทับใจอันดับต้นๆ ของการเดินทางมาที่นี่เลยย
ขากลับผมเลือกเดินอีกเส้นทางนึงที่ผ่านร้านค้ามากกว่า ผมเห็นของฝากที่นี่เหมือนจะเป็นขนมที่คล้ายๆกับทองม้วนสดบ้างเรา ผสมเกี๊ยวซ่า คือเป็นแป้งห่อใส้ประมาณนั้น แต่ก็ไม่ได้ชิมหรอกครับ ใครเคยชิมแล้วบอกกันบ้างว่ารสชาติเป็นยังไง ฮ่าๆๆ
เดินวนมาจนถึงสถานีรถไฟ ผมนั่งรถไฟ จาก สถานี Kiyomizu-Gojo ไปยัง Fushimi-Inari เพื่อไปยังสถานที่เที่ยวที่ต่อไปของผม
ศาลเจ้าสุนัขจิ้งจอกกะเสาสีส้ม
555 ไม่ต้องแปลกใจกะชื่อหัวข้อ ที่ที่สองที่ผมมาคือศาลเจ้าสุนัขจิ้งจอก อินาริ ไม่แน่ใจว่าเค้าเรียกว่าอะไร บางคนก็เรียกศาลเจ้าเสาโทริอิสีแดงพันต้นไรแบบนั้น ที่นี่คนเยอะไม่แพ้วัดคิโยมิซึเลยครับ แต่สถานที่ค่อนข้างใหญ่ มีทางให้เดินชม ขึ้นเขาไปไกล บอกได้เลยเดินไม่หมดครับ วนรอบเล็กๆๆ ก็หอบและ 555 เดินไปถ่ายรูปไปก็จะเห็นเหมือนๆกับที่วัดคิโยมิซึคือมีคนใส่กิโมโนมาถ่ายรูป
บรรยากาศที่นี่ก็จะเป็นทางเดินป่าเดินเขาที่มีเสาโทริอิสีส้มแดงตลอดทาง จำนวนมาก ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทักท่องเที่ยวก็จะเดินตามๆกัน ใกล้ๆทองออกคนจะเยอะหน่อย ลึกเข้าไปคนจะซาลง หากอยากถ่ายรูปแนะนำเดินไปลึกๆเลยนะ คนน้อยหน่อย ส่วนผม ขอเดินกลับ พอแค่นี้แหละ 5555
หน้าศาลเจ้าบริเวณทางเข้ามีการออกร้านขายอาหารเล็กๆ แบบที่เคยเห็นในการตูน ประจวบเหมาะกับเวลาล่วงเลยมาบ่ายกว่าแล้ว จึงแวะซุ้มนี้บ้างนู้นบ้างหมดเงินไปมากกว่าแวะกินข้าวจริงๆจังๆอีกนะเนี่ย
เมื่อท้องอิ่มก็ได้เวลาเดินทางต่อ ผมเดินกลับมาที่สถานีรถไฟเพื่อมุ้งหน้ากลับโอซาก้า โดยผมใช้หลักการเดิมคือต้องหาสาย rapid หรือ express แต่เนื่องจาก สถานีที่ลงเป็นสถานีเล็กๆ จึงต้องไปเปลี่ยนขบวนที่สถานีใหญ่แล้วจึงนั่งยาวเข้าโอซาก้า
ผมกลับมาถึงโอซาก้าช่วงบ่าย ทางเดินจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินไปยังที่พัก จะผ่านตลาด KUROMON จึงเดินดุ่มๆเข้าไปสำรวจก่อน แต่ถือว่าโชคดีผมพบขุมทรัพย์โลคอลย่อยๆแล้ว ในตลาดมีทั้งของสดของแห้ง ขนมขายเยอะแยะไปหมด ร้านแล่ปลาที่สามารถสั่งเป็นซาซิมิ หรือซูชิได้เลย โอ้นั้นปูยักษ์ หอยอะไรหน้าตาประหลาด แต่ด้วยที่ยังอิ่มอยู่จึงได้แต่เดินมองๆผ่านนน (มารู้ตอนหลังว่าตลาดนี้มีชื่อเสียงว่าเป็นครัวของโอซาก้าเลยทีเดียว)
ผมกลับมาถึงที่พัก นอนเล่นสักพักก่อนจะออกไปลุยในตัวเมืองโอซาก้ารอบเย็น ที่พักช่วงกลางวันเงียบมาก แทบไม่มีแขกเลย ผมเลยถือโอกาส สำรวจและเก็บรูปเพิ่มเติมและเวลาแบบนี้ไม่พลาดที่จะอึ 5555 บรรยากาศเงียบสงบขออึสบายๆ ไม่ต้องห่วงว่ากลิ่นจะไปทำร้ายใคร 5555
Den Den town ย่านผู้ใหญ่หัวใจเด็ก
สี่โมงแล้วก็ได้เวลาออกจากที่พัก เย็นนี้ขอเดินเล่นบริเวณที่พักครับ ผมพักย่านที่เค้าเรียกว่า den den town น่าจะคล้ายๆ ย่านอากิฮาบาระที่โตเกียว คือมีแต่พวกร้านของเล่นเยอะมากกกกกกกกกกก โมเดล เครื่องเล่นเกมส์กันพลา ทามิยะ เยอะแยะไปหมด นี้ความฝันในวัยเด็กๆ ของผมชัดๆๆๆ เดินเข้าแทบทุก คือในหัวสมองก่อนมาญี่ปุ่น ไม่มีความคิดเลยว่าจะมาซื้อของเล่น 555 ไม่เคยคิดชอบด้วยเห็นแต่คนอื่นเค้าเล่นกัน
ร้านแรกที่แวะเป็นร้านกันพลา เอ๊ะ หลายคนคงสงสัยอะไรคือกันพลา คำๆนี้ผมได้ยินครั้งแรกจากการ์ตูนเจ้ากบเขียวเคโรโระ คือเราไม่มีความรู้อ่ะเนาะ รู้จักแต่กันดั้ม คือหุ่นยนต์ของญี่ปุ่นนะ ในการ์ตูนเคโรโระ คงใช้ชื่อเพื่อเลี่ยงลิขสิทธิ์หรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วกันพลา ย่อมาจาก กันดั้มพลาสติกโมเดล นั้นเอง อ้ออออ เลยผม เข้าร้านแรกข้างๆ โรงแรมน่ะแหละ โอ้ ตาลุกเป็นประกาย หุ่นเท่ๆๆ ทั้งนั้นไหนๆราคา 3000 เยนบ้าง 2000 เยนบ้าง เห้น พันเย็นก็มี นี่สามร้อยบาทไทยเองนะ ครับนั้นแหละเป็นจุดเริ่มต้นของผมเลย ตรงเค้าเตอร์ กันพลาลดราคา เห็นกล่องราคา 1000-2000 เยนเยอะมากๆ เอาตัวเท่ๆราคาสัก 1000 เย็นละกัน 5555
ปัญหาต่อมาสำหรับคนที่ไม่เคยต่อกันพลาคือ เจ้าโมเดลเนี่ยที่มันมีหลายราคา นอกจากตัวละครแล้วยังมีสั่งอื่นนั้นคือ grade ของวัสดุ เช่น high grade จะถูกกว่า real grade ตามความเหมือนนั้นเอง ซึ่งหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในกูเกิ้ลลลลลล
ปัญหาสุดท้ายของมือใหม่คือโมเดลพวกนี้ต้องทำสีเพิ่มไหม ????? พลิกกล่องไปมาหลายๆ รอบ จะถามก็กลัวเค้าฟังไม่ออก 555 จนเจอกับรูป จึงพอมั่นใจว่าต่อได้เลยไม่ต้องทำสี 555555
ออกจากร้านแรกก็เสร็จไป 1000 เยน กะว่าจะเอากล่องกลับด้วยยยย ชอบและถูกใจ เวลาที่เหลือผมก็เดินแวะร้านนู้นเข้าร้านนี้มาเรื่อยๆ นอกจากกันพลาแล้วยังมีร้านรวมไข่โพเคปองให้หยอดเหรียญ ร้านที่ขายโมเดล จนฟ้าเริ่มมือจึงขอหยุดไว้เท่านี้ก่อน อ่อสิ่งนึงที่แถวนี้มีเยอะคือร้าน DVD AV ครับท่าน เยอะมาก ลองเดินเข้าไปชมแล้วแต่เค้าห้ามถ่ายรูป มีให้เลือกเยอะแยะ ส่วนใหญ่ราคาประมาณ 1000 เยน ถามว่าซื้อไหม ไม่ซื้อครับไม่ใช่อะไรไม่มีเครื่องเล่น 55555 โหลดเอาดีก่า
ผมเดินวนกลับมาทางโรงแรมเพื่อข้ามฝั่งไปเดินเล่นย่านที่เรียกว่าใจกลางการช๊อปปิ้งของโอซ้าก้านั้นคือ ดงทงโปริ เอ๊ะหลายคนคงสงสัยคือตรงไหน ง่ายๆ คือตรงป้ายกุริโกะน่ะแหละครับ ก็ไปแวะถ่ายรูปให้รู้ว่ามาถึงแล้วนะ แต่เห้ยยย ทำไมเค้าไม่เปิดไฟ เค้าประปรุงหรือเปล่าก็พลางถ่ายรูปพร้อมกับพกความสงสัยไว้ เดินกันต่อย่านนี้สมกับเป็นศูนย์กลางคนเยอะมากกกกกกกกก อารมณ์ก็ขายของมีแบรนด์ เยอะแยะไปหมด อาจจะถูกใจขาช็อปหลายๆคนแต่ไม่ถูกใจผม 5555 เดินรอบนึงกว่าจะฝ่าคนออกมา ของแบรนด์เสื้อผ้า ที่ตั้งใจมาดูคือถ้ามีเสื้อผ้า ผ้าพันคอ กระเป๋าเป้ ก็จะแวะสักหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เลย สำหรับผ้าพันคอก็ทนหนาวกันต่อไป 5555
ผมวนกลับมาถึงป้ายกุลิโกะ จึงได้เห็นว่าเค้าเปิดไฟแล้วก็จัดแจงถ่ายรูปอีกรอบ ก่อนตั้งใจว่าจะไปวนในตลาดเพื่อหาไรกิน จากที่ช่วงบ่ายที่แล้วผ่านแต่ยัดอะไรไม่ลง
พอมาถึงตลาดก็พบว่าขุมทรัพย์ของผมต่างปิดไปแล้ว ตลาดเงียบมากเหลือร้านอาหารเล็กๆ ผมเดินผ่านร้านซูชิ พบป้านหน้าร้าน มีชุด regular sushi ในราคา 1080 yen ราคารับได้ ก่อนเก้ๆกังๆตัดสินใจเข้าไปในร้าน
มื้อเย็นของผมวันนี้เป็นร้านโลคอลจริงๆ มีที่นั่งไม่เยอะ เป็นเค้าเตอร์ นั่งดูพ่อครัวทำซูชิ ผมก็สั่ง regular sushi มาที่นึงตามรูปก็อิ่มพอดีๆๆ จึงเดินทางกลับโรงแรม
คืนที่สองนี้ผมก็นอนหลับสบายเหมือนคืนแรกอากาศข้างนอกยังหนาวยะเยือกกับเสื้อหนาวบางๆของผมแบบเอาไม่ค่อยอยู่ แต่การได้กลับมาอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆของที่พักนี้มันดีจริงๆ 5555
แต่ก่อนจะนอนขอชื่นชมกันพลาตัวที่ได้มาจากร้านข้างๆที่พักก่อน 55555
จบสำหรับครึ่งแรกครับ ขอบคุณที่ติดตาม วันนี้ไม่ไหวและง่วงมากไว้ไปต่อกันครึ่งหลังนะครับ อิอิ