จากเวียงจันทน์สู่หลวงพระบาง

ลาว ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ที่ในสายตาผมมีความเหมือนทั้งทางด้านวัฒนธรรม ภาษาและความเป็นอยู่มากที่สุด ประกอบกับผมเติมโตมาในจังหวัดชายแดนประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว ทำให้ไม่ยากที่จะเข้าใจในเรื่องภาษาและวัฒนธรรม แต่ถึงแม้ผมจะอาศัยใกล้กับประเทศลาวมาตลอดเกือบ 20 ปี ผมก็ยังไม่เคยมาเยือนประเทศนี้สักครั้ง นี่เป็นครั้งแล้วที่ผมจะได้สัมผัสกับประเทศลาวจริงๆจังๆ สักที

การเดินทางไปลาวในครั้งนี้ผมได้แรงบันดาลใจจาก คุณบอลพาเที่ยว backpacker ที่เดินทางด้วน Concept ไม่มีเงินมากมายแต่มีความสุขมหาศาล เค้าได้เขียนลายแทงในการเดินทางจากเวียงจันทน์ ผ่านวังเวียง และไปสิ้นสุดที่หลวงพระบางขึ้น ซึ่งผมก็ได้หลังไมค์และได้รับคำแนะนำต่างๆจากคุณบอลเพื่อปรับเปลี่ยนแผนตามความเหมาะสมจนเกิดทริปนี้ขึ้น

ผมมีเวลาสี่วันสามคืนผมเริ่มต้นจากบินจากกรุงเทพสู่เวียงจันทน์ แล้วนั่งรถไปวังเวียง นอนสองคืนแล้วนั่งรถต่อไปยังหลวงพระบางพักผ่อนอีกคืนก่อนจะบินกลับกรุงเทพ ถ้าจะให้เล่าการเดินทางคร่าวๆของผมก็มีเท่านี้ 555 จบแล้วครับเจอกันใหม่ในทริปหน้า … สวัสดี

ใช่ที่ไหนกันครับ นี่แค่พึ่งเริ่ม งั้นเรามาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่าาาา เช้าวันเสาร์วันหยุด หลายคนยังนอนหลับฝันหวาน ผมแบกเป้ขึ้นบ่า นั่งรถตู้ไปลงปากทางเพื่อที่จะต่อแทกซี่เข้าสนามบิน หลายคนคงสงสัยทำไมไม่นั่งแทกซี่จากบ้านเลย คำตอบคือมันแพงครับ ขาไปนี้ผมบินกับสายการบิน Bangkok Airway ที่เวลาค่อนข้างดี ออกสายๆถึงเที่ยง ผมจึงต้องมาขึ้นที่สุวรรณภูมิ สายการบิน Bangkok Airway ดีอย่างนึงตรงที่มีเล้าท์ให้นั่งระหว่างรอขึ้นเครื่องฟรี (ไม่ได้ค่าโฆษณานะ) ผมจึงมาฝากท้องมื้อเช้าที่นี้มีขนมเล็กๆน้อยๆให้ลองท้อง

วันที่ 19 มกราคม 2019 เวลา 9:45 ได้เวลาขึ้นเครื่อง เครื่องทะยานออกจากสนามบินสุวรรณภูมิมุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่เวียงจันทน์ เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ใช้เวลาบินชั่วโมงนิดๆๆ ผมก็มาถึงสนามบินวัตไต ที่เมืองเวียงจันทน์ สนามบินวัตไตเป็นสนามบิน นานาชาติที่ขนาดไม่ใหญ่มาก จะเล็กกว่าสนามบินใหญ่ๆ ในต่างจังหวัดของไทยอีก สนามบินแห่งนี้ออกจะอยู่นอกเมืองสักหน่อย ที่ต้องไปต่อคือสถานีขนส่งสายเหนือเพื่อขึ้นรถตู้ประจำทางไปวังเวียง วังเวียงไม่มีสนามบินครับ การเดินทาไปจะต้องไปโดยรถเท่านั้น อาจจะเดินทางจากอุดรหนองคาย ก็ได้มีรถทัวร์ขนาดใหญ่นั่งสบาย หรือจะไปแบบผมนั่งรถตู้แบบ Local ฮ่าๆๆๆ

ที่นี่เรามุ่งตรงไปยังตู้จำหน่าย SIM และช่องแลกเงินก่อนเลย ทางที่ดีมาช่องแลกเงินก่อนเพื่อเอาเงินกีบไปซทชื้อซิม ราคา SIM ที่นี่ถือว่าไม่แพงเลย พนักงานน่ารักพูดไทยชัดแจ๋วจนต้องถามว่าน้องเป็นคนไทยหรือเปล่า หลังจากนั้นเราก็มองหารถที่จะพาเราไปยังสถานีขนส่งสายเหนือ

เราใช้บริการ Taxi สนาบินซึ่งมี rate ราคาอยู่แล้ว อาจจะแพงหน่อยพอๆกับนั่งเข้าเมือง ถ้าจำไม่ผิด 140,000 กีบ เจรจาต่อรองเรียบร้อยพอตอนขึ้นอย่าเผลอไปนั่งที่คนขับนะครับ ที่นี่พวงมาลัยซ้าย จากสนามบินไปขนส่งสายเหนือ ระยะทางประมาณ 10 กว่าโล เรายังมีเวลาผมลองต่อรองให้พาไปถ่ายรูปที่ประตูชัยสักหน่อย แต่เจอราคาเข้าไป งั้นขอมุ่งตรงไปขนส่งเลยดีกว่า

ขนส่งสายเหนือประจำเมืองเวียงจันทน์ มีขนาดกระทัดลัดเล็กพอๆกับขนส่งประจำจังหวัดบ้านเรา ด้านในมีช่องจำหน่ายตั๋วมากมายหลายที่ เราต้องไปที่คิวรถตู้ไปวังเวียงเพื่อรีบจองที่นั่งก่อน ก่อนจะค่อยหาอะไรรองท้องเข้าห้องน้ำแต่ก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

ค่าโดยสารสำหรับรถตู้เองจะอยู่ที่ 60000 กีบ เป็นยานพาหนะประจำของชาวบ้านอยู่แล้ว จึงไม่แปลกใจเลยที่ชาวบ้านก็อาศัยรถตู้สายนี้ในการเดินทางเช่นเดียวกัน ทำให้เราได้เห็นบรรยากาศแบบ Local อัดๆกันตามประสา เมื่อรถตู้เต็มก็ได้เวลาออก โชคดีที่มาเร็วทำให้ได้ที่นั่งหลังคนขับ ไม่อย่างนั้นต้องไปอัดเป็นปลากระป๋องด้านหลัง ซึ่งทั้งร้อนทั้งอัด ไม่รู้ฝรั่งคนนั้นทนได้ไง แถมระยะทางจากเวียงจันทน์ไปวังเวียงจริงๆ ก็ไม่ได้ไกล แต่ด้วยสภาพผิวจราจร และรถบรรทุกที่มีมากมายทำให้ใช้เวลาวิ่งถึง สี่ชั่วโมงทีเดียว

เส้นทางเริ่มจากผ่านหมู่บ้าน เหมือนกับหมู่บ้านในชนบทประเทศไทย จนเริ่มมีเข้าบ้างแต่ก็ไม่เยอะ ทางจะเป็นทางลาดยางไม่เกิน 50 เมตร สลับรุกรัง 50เมตร สลับเป็นฟันปลาอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่แปลกใจเลยทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนี้ นั่งๆ นอนๆ จนเมื่อยก้นเลยทีเดียว

สองชั่วโมงผ่านไปรถมาจอดแวะจุดพัก ก็ได้เวลาลงเข้าห้องน้ำยืดเส้นยืดสาย ข้าวเที่ยงยังไม่ได้ตกถึงท้องจริงๆจังๆ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าถ้านั่งกินแล้วรถจะรอเราไหม เลยตัดใจยังไม่กินเก็บความหิวเอาไว้แล้วเดินทางต่อ

ถัดมาอีกสองชั่วโมง เราเริ่มเห็นทิวเขาหินปูนสลับซับซ้อน เพื่อเป็นสัญญาณบอกเราว่าเราก็มาถึง วังเวียงงงงงงงแล้ว รถตู้จอดส่งเราบริเวณริมถนนแต่เราต้องต่อรถเพื่อเข้าไปในหมู่บ้านต่อ เราใช้บริการสองแถวบริเวณนั้น ซึ่งราคาไม่แพง พาไปส่งที่พัก

ถึงที่พักจัดแจงเช็คอิน นั่งพักให้หายเมื่อย ค่อยลงมาติดต่อเช่ามอไซค์ไว้เดินทางสำหรับวันพรุ่งนี้ แล้วก็ได้เวลาไปเดินเล่นริมแม่น้ำซองและที่สำคัญไปหาของกินเพราะเวลานี้หิวมากกกกกกกก

อากาศที่วังเวียงนี้กำลังสบายๆๆ เราเดินข้ามแม่น้ำมายังจุดที่มีร้านตั้งแคร่ขายอาหารริมน้ำ แล้วก็จัดที่นั่งริน้ำห้อยขา สั่งอาหารกินให้หายอยากเพราะถือว่านี่คือมื้อแรกจริงๆจังๆของเราที่ลาวว และไม่พ้นอาหาร Signature คือ ส้มตำ ฮ่าๆๆๆๆ

ร้านอาหารริมน้ำราคาค่อนข้างสูง แต่ร้านอาหารอื่นๆในเมืองก็เช่นกัน มือนึงต้องมี 20000 -30000 กีบ คงเพราะที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยว ทำให้บรรยากาศคล้ายกับพัทยาบ้านเรา ฝรั่ง เกาหลี จน เดินให้ขวักไขว่

หลังจากท้องอิ่มเราเดินกลับข้ามมาสะพาน ชมวิวชิวๆๆ ดูร้านนู้นร้านนี้ แล้วมาหยุดอยู่ร้านขาย tour เพื่อจอง tour คายัคสำหรับวันพรุ่งนี้ เมื่อจองทัวร์เรียบร้อย เราเดินมาอยู่ที่หน้าผับชื่อดังที่ใครมาต้อง recommend แต่เวลานี้พึ่งจะทุ่มนึงยังไม่เปิด รอไม่ไหว ด้วยอาการล้าที่เดินทางมาทั้งวันจึงทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากที่จะกลับที่พัก พักผ่อนเพื่อเก็บแรงสำหรับลุยวันพรุ่งนี้ดีกว่าพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน

ช่วงกลางคืนเดือนปลายมกราคมแบบนี้ อากาศสบายๆ ไม่ถึงกับหนาว ทำให้คืนนี้หลับสบายยยยย ก่อนนอนก็ได้ทราบจากคนดูแล โรงแรมว่าพรุ่งนี้ตื่นเช้ามามีตลาดนัดของชาวบ้านตอนเช้า ถนนหน้าที่พักเนี่ยแหละ สบายล่ะไม่ต้องไปหาของกินที่ไหนไกล 555

เช้าวันที่สองของการเดินทาง ผมตื่นแต่เช้าประมาณ ตีห้าเห็นจะได้ เพราะได้ยินเสียง คนและรถ จึงแง้มประตูออกไปดู เห็นชาวบ้านมือนึงถือไฟฉายกำลังจัดแจงปูเสื่อ วางของขายริมถนน พอเริ่มฟ้าสางก็ได้เห็นชาวบ้านนำสินค้าทางการเกษตร คล้ายๆ ตลาดสดบ้านเรามาขายกันพอสมควร จึงได้เวลา หาขอกินเพื่อเติมพลังก่อนตะลุยในวันนี้ เพราะ ที่พักที่เราจองมาเป้นแบบ Guest house ไม่มีอาหารเช้าจึงต้องขนขวายเองแต่ก็เป็นข้อดี อาหารเช้าจะได้ไม่หยุดที่ไข่ดาวไส้กรอก 55555

หลังเดินชมตลาด เราได้อาหารเช้าแบบพื้นบ้านมาเพียบเลย อาหารที่นี่มีความคล้ายคลึงกับอาหารทางภาคอีสานของเรา อย่างข้าวเหนียวถือว่าเป็นอาหารหลักของที่นี่ กินได้กับทั้งแจ่ว ไส้กรอกที่เหมือนไส้กรอกอีสาน ปลาปิ้ง ไก่ปิ้ง หากใครชอบอาหารอีสานอยู่แล้วผมเชื่อว่าถูกปากแน่นอน

ช่วงสาย รถมอไซต์มาส่ง วันนี้เราเช่ามอไซต์ในการเดินทางซึ่ง มอไซต์ที่เช่า จะไม่มี น้ำมัน อย่าลืมเติมก่อนออกตะลุย ไม่ต้องเติมเยอะแต่เติมพอดีๆ นะ อ้อที่สำคัญผ้าปิดปากปิดจมูกสำคัญมากเพราะ ถนนที่นี่จะทำให้ผมสีดำของคุณเป็นสีแดงได้ในเวลาไม่ถึง 5 นาที 5555

เราเติมน้ำมันเรียบร้อยจุดหมายแรกที่จะไปคือ Blue lagoon แต่การที่จะไปต้องใช้เส้นทางที่ผ่านสะพานที่เค้าเก็บเงิน อาจจะเป็นเพราะเป็นสะพานเอกชนสรา้งจึงเก็บเงิน สะพานเป็นสะพานแขวที่สรา้งจากไม้ มีเลนเดียว รถยนต์ผ่านได้แต่ต้องรอให้ไม่มีรถสวน ส่วนเรามอไซต์ไปได้ชิวๆ ต้องผ่านสะพานที่มีสะน้ำสีฟ้าเขียวใสแจ๋วที่โด่งดัง นักท่องเที่ยว

Blue lagoon สถานที่ ที่ทำให้วังเวียงมีชื่อเสียง คงมาไม่ถึงถ้าไม่แวะมาที่นี่ ซึ่งจริงๆแล้วปัจจุบันมี Blue lagoon ถึงสามแห่ง ที่แรกที่มาแวะคือ Blue lagoon 1 Blue lagoon มีลักษณะเป็นสระน้ำสีฟ้าเขียว มีความใส น่ากระโดดยิ่งนั่ง ถึงแม้ว่าเรามาถึงที่ Blue lagoon กันแต่เช้าก็ยังมีนั่งท่องเที่ยวมากมาย แต่ด้วยอากาศตอนเช้ายังเย็น จึงยังไม่เห็นใครกระโดดลงน้ำรวมทั้งเราด้วย อ่อสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่วังเวียงมักจะเก็บค่าเข้าคนละ 10000 กีบ

มาต่อกันสถานที่ต่อมา เส้นทางจากหมู่บ้านไปยัง Blue lagoon 1 ทางยังคงมีรุกรังบ้างเล็กน้อย แต่ทางจาก Blue lagoon 1 มาผาหนามไซ นี่ไม่มีเลย ไม่มีทางรุกรัง เปล่าไม่มีทางลาดยาง ผ่างงง !!! 555 เล่นเองตบเอง ฝุ่นล่วนๆ ถามทางชาวบ้านมาเรื่อนจนมาหยุดอยู่ทางขึ้น จะมียายเก็บเงินค่าขึ้นก็จ่ายไป 10000 กีบเช่นเคย ระยะทางไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น ยายถามซื้อน้ำยายไหม ด้วยความที่ใกล้ๆไม่จำเป็นหรอก 55 เลยเดินตัวปลิวขึ้นไป

ผ่านสองร้อยเมตรแรก นรกมีจริง ทำไมมันโหดเช่นนี้ หลายคนยังยอมแพ้ไม่ไปต่อแต่ผมไหนๆมาถึงแล้วต้องลุยๆๆ หิวน้ำก็หิว จนนักท่องเที่ยวท่านอื่นพยายามแบ่งน้ำให้ ได้แต่ขอบคุณไม่เป็นไรผมมีส้ม 555 มีส้มพกมาลูกนึงจริงๆ อย่างน้อยก็ใช้เติมพลังตอนจะหมดหลอด อากาศจากที่เย็นร้อนขึ้นมาจนต้องถอดเสื้อกันหนาวออก แล้วเดินขึ้นไปให้ถึง หลายคนบอกผานี้ยังไม่หนักเท่าผาเงิน ดีนะไม่ได้ตัดสินใจไปผาเงิน 555 ไม่งั้นตายแน่

และแล้วก็มาถึงยอดเขา วิวที่นี่ทำให้ผมหายเหนื่อย ถึงไม่หายปลิดทิ้งแต่ก็หายไปเยอะล่ะน้าาา วิวบนนี้สวยมา มีจุดให้ถ่ายรูปพอสมควร นักท่องเที่ยวก็เยอะด้วย มีมอไซค์คันเล็กๆ ให้แอ๊คท่าถ่ายรูปแต่ผมขอบายเล่นอยู่ริมผาแบบนั้นกลัวตกไปตายเอา 555

พักจนหายเหนื่อยได้เวลาเดินลง ขาลงนี่ก็ทำเอาขาสั่นผับๆเลย กว่าจะถึงด้วยความกระหายก็หนีไม้พ้นที่ต้องหาโค๊กเย็นๆจากยาย และแล้วยายก็ได้เงินผม

เวลานี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เริ่มหิวข้าวตามแผนเราจะไปกันต่อที่ Blue lagoon 2 แต่ขับได้สักพัก ทางโหดไม่ใช่แค่รุกรังอย่างเดียว อุกกาบาตเยอะมาก เด้งจนไส้สะเทือนจึงตัดสินใจ ข้ามไป Blue lagoon 3 เลย จะได้กินข้าวเล่นน้ำที่นั้นที่เดียว

เราขี่มอไซค์จาก ผาหนามไซมากว่าสิบกิโลจนมาถึง Blue lagoon 3 ที่นี่ขนาดใหญ่กว่า 1 เยอะมีสระขนาดใหญ่ มีผาหินปูด้านหลังสวยงาม ให้ร่มเงาช่วงเย็น และที่สำคัญมีร้านส้มตำให้เราสั่งมากินกันริมๆ แต่คนก็เยอะเช่นเดียวกัน อาหารก็แพงเป็นมาตรฐานเหมือนเดิม 5555

ที่ Blue lagoon 3 นี้จะมีที่ให้กระโดดน้ำ มีทั้งแบบสูงและไม่สูง เลือกได้ตามความเสียว ผมลองไม่สูงก็พอและ พอประมาณ 555 น้ำเย็นใสสดชื่นจริงๆ แต่แช่นานไปหนาวก็ต้องรีบขึ้น

ท้องก็อิ่ม แถมยังพักผ่อนกันเต็มที่ก็ได้เวลาขี่มอไซค์กลับ เราขี่กลับทั้งๆที่ตัวเปียกกันแบบนั้น โดยใช้เส้นทางเดิมผ่านสะพานจ่ายค่าใช้สะพานเช่นเดิม แล้วเลี้ยวขวาตาม GPS ไปยังถ้ำจัง สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่ไม่ควรพลาด ที่นี่จะมีสะพานแขวนสีส้มสดใจให้ถ่ายรูปกันสวยๆ เดินข้ามฝั่งมาจะเป็นส่วนที่เป็นเหมือนสวนสาธารณะ มีร้านชาวบ้านนิดๆหน่อย ทำให้ได้ขนมแปลก ขายๆแบ่งบางๆย่างที่นี่ จริงๆก็คล้ายข้าวเกรียบว่าวนะ

เดินมาจนสุดทาง จะผมกับน้ำตกเล็กๆ ด้านหน้าซึ่งน้ำใสมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มีคนลงแช่ด้วยแฮะ ก่อนจะเงยหน้าไปพบกับบันไดตั้งตระง่า ทำเอาท้อจากคนที่ปีนเข้าเมื่อเช้าเหมือนกัน แต่ยังไงก็มาแล้วก็ต้องลุยกันต่อ ด้านบนจะพบกับถ้ำที่ใหญ่พอประมาณ ประดับไฟเล็กน้อยมีความสวยงามพอตัว

เดินเล่นสักพักไม่มีอะไรมากเราก็กลับที่พักของเราเพื่อไปเตรียมลุยช่วงเย็น

กลับมาที่พักเก็บข้าวของเก็บกล้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนลุยกับทริปช่วงเย็นของเราคือคายัค เดิม กิจกรรมที่เกี่ยวกับแม่น้ำซองมีหลากหลาย ไม่ว่าจะ tubing คือล่องห่วงยาง ล่องเรือ หรือค่ายัค เราเลือกคายักเพราะ ไม่ดูหน้าเบื่อเกินไป และราคาไม่สูงมาก

ทัวร์พาเราตะลุยฝุ่นขึ้นไปทางเหนือของวังเวียงประมาณ 7-8 กิโล มาสู่จุดปล่อยตัว เรือพร้อมคนพร้อม แดดกำลังดีก็ได้เวลาล่องแม่น้ำซอง

แม่น้ำซองเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ผ่านกลางเมืองวังเวียง ระหว่างทางเราจะเจอทั้งรีสอร์ท ผับ บาร์ ร้านอาหาร ตามแนวของแม่น้ำ ส่วนตัวน้ำเองมีความลึกไม่มาก แต่บางช่วงก็เชี่ยวเอาการ ล่องมาเรื่อยๆ เราก็จะพบกับเพื่อนร่วมทางจากนานาชาติ ที่พากันล่องห่วงยางบ้าง หรือกลุ่มอาซิ้มที่พาคายัคแซงหน้าเราไป แต่ถ้ามองข้ามสิ่งเรานี้เราจะเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดสองฝั่ง ภูเขาตั้งตระง่าด้านขวา แม่น้ำที่น้ำใส ถึงบางช่วงจะมีเสียงเพลงจากผับ บาร์ริมน้ำบ้างแต่บางช่วงก็สงบจริงๆ

เราใช้เวลาประมาณ สอง ชม. ในการดื่มด่ำธรรมชาติ พร้อมกระแสน้ำเชี่ยวให้เสียวเป็นช่วงๆ ด้วยความที่ประสบการณ์พายคายัคอันนั้นนิดของผม ก็พาผมเข้าดงไม้ ได้แผลมานิดๆหน่อยๆ ให้แสบเล่นเวลาอาบน้ำ -_-” ออกจาพงป่าได้ นอกจากธรรมชาติที่เราพบเจอได้ระหว่างทางแล้ว เรายังพบกับผู้ร่วมทริป ไม่ว่าจะเป็น ฝูงเรือคายัคจากทัวร์จีน ฝรั่งลอยห่วงยางหน้าแดงเพราะแดดเผามือนึงก็ถือขวดเบียร์จิบไปตลอดทาง เราพายเรือตามกระแสน้ำมาเรื่อยๆ ก็มาถึงบริเวณที่เรามากินข้าวเมื่อเย็นวันก่อน นั้นเป็นสิ่งที่บอกเราว่าสิ้นสุดทริปแล้ว

เราเดินกลับมายังที่พักเพื่ออาบน้ำอาบท่า เพื่อเตรียมออกไปกินอาหารเย็น ก่อนคืนนี้จะปิดท้ายด้วย Sakura bar บาร์ชื่อดังที่เมื่อวานมาแล้วแต่เค้าไม่เปิด วันนี้รู้เวลาสองทุ่มเปิด เราก็มาตอนบาร์เปิด แต่ยังไม่มีลูกค้าเลย

ข้อดีของการมาเร็วอย่างนึงคือเหล้าฟรี แต่ผมก็ดื่มไม่เป็นทำให้ไม่รู้ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย ได้แต่ชิมนิดๆแค่ให้รู้ว่า มันขมชะมัดเลย 55555 นั่งสักพัก ฟังดนตรีดังๆที่ฟังไม่รุเรื่อง เริ่มมีแขกเข้า ก็รู้ว่าไม่ใช้แนว ประกอบกับกลางวันเราลุยกันมาโหด วันนี้จึงไม่ไหวขอพักเท่านี้ ขอกลับไปนอนโรงแรมดีกว่า ZZzzzzzzzz

วันที่สามของการเดินทาง วันนี้เราต้องนั่งรถกันอีกยาวๆ เพื่อเดินทางสู่หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก ที่มีวัฒนธรรมคล้ายกับทางภาคเหนือของไทย วันนี้ทั้งวันใช้เวลากับการเดินทาง ซึ่งจริงๆระยะทางไม่เท่าไหร่ แต่ด้วยถนนหนทางที่คดเคี้ยวก็ทำให้เวลาการเดินทางปาเข้าไปสี่ชั่วโมง

ที่หลวงพระบางนี้ บ้านเมืองดูเจริญกว่าวังเวียงอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะที่นี่มีสนามบินและ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางมาเสพสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิต ต่างจากวังเวียงที่เน้นธรรมชาติ และกิจกรรม adventure

หลังจากได้ที่พักแล้ว เราจัดแจงเช่ามอไซค์รับจ้างเพื่อใช้เดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เหมือนที่ทำที่วังเวียง แต่ราคาที่นี่จะสูงกว่า เมื่อได้มอไซค์แล้วเรามีเวลาเหลือแค่ช่วงบ่าย เราได้เวลาแว้นนนน กันออกนอกหลวงพระบางย้อนกลับไปทางวังเวียง และเลี้ยงเข้าซอยตาม GPS ไปยัง น้ำตกตาดแส้ น้ำตกที่รถไปไม่ถึง(เอ๊ะหรือมันถึง) ต้องนั่งเรือชาวบ้านเข้าไปอีกสิบนาที

เมื่อไปถึงจุดขึ้นเรือ มีรถนักท่องเที่ยวจอดไม่เยอะ ทำการซื้อตั๋วไปกลับและ เดินไปตามชาวบ้านไปขึ้นเรือ เมื่อถึงจุดจอดเรือ ต้องเดินต่ออีกนิดหน่อยก็จะถึงน้ำตก ถึงเมื้อเราจะมาถึงน้ำตกประมาณ 3 โมงเย็น ร้านที่นี่ส่วนใหญ่ปิดกันแล้ว นักท่องเที่ยวไม่หนาตาเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติมาถอดเสื้อเล่นน้ำ

เสน่ห์ของน้ำตกแห่งนี้แน่นอนครับ น้ำใสมากกกก มีสระเล็กๆ หลายๆสระ ไหลไปมา ช่วงเดือนที่มาน้ำไม่เยอะเท่าไหร่ มีบริการขี่ช้างเล่นน้ำด้วย ว่าแต่น้ำใสแทบอยากจะแก้ผ้าโดดเลย แต่เกรงใจนักท่องเที่ยวคนอื่นสุดท้ายได้แต่เอาเท้าแช่น้ำให้สำราญใจเท่านั้น

นั่งเล่นสักพัก นักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยกลับ เราก็เช่นกัน ได้เวลากลับหลวงพระบางเพื่อเตรียมไปสถานที่ท่องเที่ยวต่อไป

สถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายสำหรับวันนี้ เป็นจุดที่ใครมาหลวงพระบางไม่แวะมาทดสอบกำลังไม่ได้ เอ๊ะทำไมต้องทดสอบกำลัง เพราะว่าสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางหลวงพระบาง นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยมจิดใจหลักของชาวหลวงพระบางอีกด้วย นั้นคือพระธาตุพูสี

พระธาตุพูสีมาไม่ยากเพราะอยู่ใจกลางเมืองอีกทั้งยังตั้งตระง่าน มองจากมุมไหนของเมืองก็เห็น นักท่องเที่ยวมักมาสักการะ ชมวิวและดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ แน่นอนผมก็เช่นเดียวกัน

หลังจากพระอาทิตย์ตกแล้ว กลับลงมาด้านล่างก็จะพบกับบรรดาร้านค้าต่างๆมากมาย ส่วนใหญ่เป็นของฝาก ตลาดแห่งนี้มีชื่อว่าตลาดมือ เพราะจะเปิดขายกันตอนกลางคืน หากมีหาของกินอาจจะผิดหวังหน่อยเพราะของส่วนใหญ่จะเป็นของฝาก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า สินค้าแฮนท์เมค แต่หากเดินมาเรื่อยๆจนสุด จะมีซอย ซอยนึงซึ่งซอยนี่แหละของกินเพียบ อาหาร local ที่ต้องการ

ด้านหน้าซอยอาจจะเล็กเดินเข้ามา จะมีอาหารขายพอสมควร จะซื้อกลับที่พักหรือนั่งทานที่ร้านก็ได้ตามสะดวก ราคาไม่แพง รสชาติใช้ได้มื้อเย็นจึงได้ฝากท้องกันที่นี่ ปิดวันกับตลาดมืด

เช้าวันสุดท้าย เราต้องตื่นกันแต่เช้ามาชมบรรยากาศ การใส่บาตรเข้าเหนียวอันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ บริเวณใกล้ๆพระธาตุพูสี ซึ่งจริงๆแล้ว เชียงคาน จังหวัดเลย บ้านผมก็มีไม่เคยไปชม แต่ต้องมาชมไกลถึงหลวงพระบาง 5555

เราไปถึงก่อนเวลาพอสมควร นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเยอะนัก บริเวณนี้จะปิดถนนไม่ให้รถสัญจร ริมถนนจะมีจุดบริการ(เสียเงิน)ให้ นักท่องเที่ยวได้เลือกนั่งพร้อมกับข้าวเหนียวให้บริการ ซึ่งไม่นานนักทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้านก็เริ่มหนาตามากขึ้น

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจใส่บาตร ยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสาย Local ไม่ควรพลาดนั้นก็คือ เดินตลาดเช้าของที่นี่ ทางเข้าจะค่อนข้างเล็กและหายากนิดนึง พยายามเดินตามผู้คนไป สินค้าในตลาดแห่งนี้ หนีไม่พ้นพืชผัก หรือสินค้าเกษตรมากมาย และของฝากที่น่าสนใจจากตลอดแห่งนี้คือแจ่วบอง

จบจากการเดินตลาดเช้า เราก็ไปต่อกันที่ร้านกาแฟ ยอดฮิตของคนไทย ร้านกาแฟประชานิยม บรรยากาศ เหมือนร้านกาแฟโบราณที่ไม่ต้องแปลกใจเลยมีแต่คนไทย นอกจากกาแฟแล้ว ยังสามารถลองท้องด้วยโจ๊กและปาท่องโก๋ได้ ร้านจะอยู่ใกล้กับแม่น้ำ ซึ่งบรรยากาศยามเช้า อากาศดีและมีหมอกจากๆ ได้ฟิลไปอีกแบบ

หลังจากนั้นท้องอิ่ม เราแวะเที่ยววัดรอบๆ ในเมืองหลวงพระบาง หนีไม่พ้นวัดดังอย่างวัดเชียงทอง ที่มีเอกลักษณ์ด้านสถาปัตยกรรมล้านนา คล้ายทางภาคเหนือของไทย

และสุดท้ายของสุดท้ายจริงๆ ก่อนบินกลับแนะนำเลย ห้ามพลาดส้มตำลาวสไตล์หลวงพระบาง ซึ่งส้มตำที่นี่จะใส่กะปิ เส้นมะละกอจะเป็นเส้นใหญ่ๆหน่อย รสชาตินัวมากๆๆๆๆๆ ร้านจะอยู่ข้างๆวัดหนองสีคุณเมือง แนะนำเลย ถ้ามีโอกาสกลับไป จะกลับที่ทานอีกครั้ง

และแล้วก็หมดเวลาเดินทาง บันทึกความทรงจำฉบับนี้ หลายอย่างน่าจะตกหล่น เพราะเดินทางตั้งแต่ต้นปี กลับมารื้อความทรงจำก็กลางปีแล้ว ฮ่าๆๆๆ อาจจะเพราะความขี้เกียจ แต่การเดินทางในลาวแห่งนี่ก็ได้เพิ่มประสบการณ์ให้มากมายในการเดินทาง เพราะที่นี่เป็นครั้งแรกที่ไป ต่างบ้านต่างเมืองที่ความเจริญมีน้อยกว่าเรา แรกๆก็กังวลแล้วจะโอไหม ตอบเลยครับคุณจะได้เห็นอีกบรรยากาศ บรรยากาศของคน สถานที่ วัฒนธรรมที่มีเสห่น์แน่นอน ผมรับรอง

ไว้เจอกันในทริปหน้า ถ้าไม่ขี่เกียจก็จะเขียน 5555 ขอบคุณครับ