2 Day 1 Night เส้นทาง Rokko-san+Arima Onsen

Rokko-san + Arima Onsen
7-8/12/2017

เกริ่นนำ

หลังจากบทความทริปท่องเที่ยวคันไซเมื่อต้นปี ผมได้มีโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้ง โดยรีวิวครั้งนี้มจะขอเรียกมินิรีวิวดีกว่า เพราะรอบเป็นเหมือนส่วนต่อขยายจากครั้งก่อน แต่เป็นการเดินทางอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ ผมได้พาครอบครัวร่วมทริปไปด้วย และเล็งเห็นว่า รีวิวเส้นทางภูเขา Rokko+ Arima มีน้อยและเก่า แต่ในความรู้สึกส่วนตัวรู้สึกว่าน่าสนใจมาก เพราะอะไรมาดูเหตุผลของผมกัน

  •  ระยะไม่ไกลจากโอซาก้า(ซึ่งมีเที่ยวบินเยอะมากกจากไทย)เดินทางไปกลับหรือมาพักสักคืนยังได้
  • สัมผัสลานสกีกลางแจ้งไม่ไกลจากโอซาก้า(หน้าหนาว) 
  • มีความหลากหลายในการเดินทาง ทั้ง รถเมล์ /Cable car /Rope way/รถไฟ ทริปเดียวสัมผัสครบทุกรสชาติ 555
  • ไม่ใช่เส้นทางของทัวร์ คนจึงน้อยย สงบดี  
  • เที่ยวได้ทุกฤดูกาลเลยยยย เช่น ใบไม้เปลี่ยนสีฤดูใบไม้ร่วง ,ซากุระฤดูใบไม้ผลิ
  • วิวสวยสัมผัสธรรมชาติใกล้ๆ เมือง

เป็นไงล่ะ สารพัดเหตุผล ทำให้เกิดบทความนี้ขึ้น เพราะอยากให้เป็นข้อมูลเพื่อให้เพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ได้ตามรอยกัน

การเตรียมตัว

ก่อนอื่นเลยการเดินทางบนภูเขา Rokko ถ้าจะให้ประหยัด สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ เค้ามี 1-day Pass ให้บริการครับ แต่หาซื้อหน้างานไม่ได้นะครับ เราต้องซื้อก่อน ผมแนะนำว่า ซื้อที่สนามบินเลยที่ KANSAI TOURIST INFORMATION CENTER ตรงใกล้ๆ ทางออกก่อนขึ้นรถไฟ ในราคา 1000 เยน

เพื่อนๆคงมีคำถามว่า แล้วพาสนี้ใช้ทำไรได้บ้าง งั้นมาดูกัน Pass นี้ประกอบด้วย
1. ตั๋วรถเมล Kobe City Bus สาย 16 ไป-กลับ
2. ตั๋วรถ Cable Car ไป-กลับ
3. ตั๋วรถวนด้านบนภูเขา Rokko Sanjo Bus ไม่จำกัด
4. ใช้เป็นส่วนลดเข้าสถานที่ต่างๆ

ซึ่งหากซื้อแยกจะค่อนข้างแพง ทั้งนี้ Pass จะจำหน่ายเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้น และจะต้องใช้ Passport ในการซื้อด้วยครับ
ข้อมูลอื่นๆของ Pass https://www.rokkosan.com/en/pass/

สรุปการเดินทางคร่าวๆ
รถไฟจาก Osaka > ลงสถานี MIKAGE > รถเมล์ Kobe City Car 16 > Cable Car > รถวน Rokko Sanjo Bus > Arima Ropeway > รถไฟกลับโอซาก้า

*สีส้มคือส่วนที่ใช้ pass ได้

ออกเดินทาง

การเดินทางรอบนี้ผมเริ่มต้นที่แถว Numba แนะนำให้ออกเช้าหน่อย หาอะไรกินก่อนขึ้นรถไฟ จะได้ไม่หิว เพราะ การเดินทางช่วงแรกค่อนข้างไกลทีเดียว
การเดินทางช่วงแรกจะเดินทางด้วนรถไฟเอกชนซึ่งผมใช้บัตร KTP ไม่จำกัดอยู่แล้ว ไปได้สองสถานีคือ ROKKO(HANKYU) และ MIKAGE(HANSHIN) หรือหากใครถนัดสาย JR ก็ให้นั่งไปลงที่สถานี Rokkōmichi

ผมเลือกขึ้นรถไฟที่สถานี KINTETSU NIPPOMBASHI เพื่อที่จะนั่งไปลง MIKAGE(HANSHIN) จาก KINTETSU NIPPOMBASHI นั่งรถไฟ Local ป้ายสีดำ(หรือสายอื่นเช็คตารางอีกที) ไปลงที่ AMAGASAKI แล้วต่อ Rapit Express สีแดง ที่มาจาก Umeda ไปลง MIKAGE(HANSHIN) ตรงนี้ ย้ำนะครับสีแดงอย่าขึ้นผิดแบบผม สีน้ำเงินที่มาจากนารามานไม่จอด MIKAGE จึงเลยไปยาวววววว ได้นั่งย้อนกลับเสียเวลาไปอีก 55555

ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์อ่ะเนาะใครมาถึงญี่ปุ่นแล้วนั่งรถไฟไม่หลง ไม่เลยนี่ถือว่ามาไม่ถึงจริงๆนะ 5555 สำหรับใครอยากวางแผนการเดินทางก็เชิญเว็บเดิมครับ
http://www.hyperdia.com/en

เมื่อถึงสถานี MIKAGE แล้ว บรรยากาศสถานีนี้เป็นสถานีรถไฟเล็กๆ(ในเมืองเล็กๆ) เดินออกมาด้านหน้า มองไปทิศเหนือ จะพบป้ายรถเมล Kobe City Bus สาย 16 จอดอยู่(ออกมาแล้วตามรูปด้านล่างครับ) ซึ่งเหตุผลที่เลือกที่นี่เพราะเป็นต้นสาย ของสาย 16 ผมรอช้า เห็นรถแล้วก็ขึ้นสิครับ โดยรถเมลที่นี่ขึ้นตรงกลาง(หรือด้านหลัง) ลงด้านหน้าครับ 

ภาพจาก street view

จับจองที่นั่งเสร็จ ไม่นานรถก็จะออก รถเมล์สาย 16 ก็จะเดินทางผ่าน ทั้ง JR Rokkōmichi และ ROKKO(HANKYU) โดยระหว่างทาง ก็จะเห็น บ้านเรือน ขนาดไม่สูงมาก ซึ่งเขตแถบๆนี้จะอยู่เชิงเขา ทางจะชันๆ บ้าง ยิ่งไปไกลเรื่อยๆ มองกลับไปก็จะเห็นวิวเมืองจนไปถึงอ่าว

อีกทั้งรถเมล์สายนี้จะพบว่า มีหนุ่มสาวใช้บริการค่อนข้างมากซึ่ง ตอนแรกก็แอบแปลกใจ จนใกล้ถึงปลายทางพบว่า คนลงที่ป้ายนี้กันเกือบทั้งคัน เราก็เกือบจะลงตาม(สาวๆเยอะ) หันไปเจอป้าย Univercity นี่เอง (แต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร) ถึงว่า สาวๆเยอะ นึกถึงการ์ตูนชินจังตอนไปเที่ยวเขากับปู่ ที่ขึ้นรถผิดไปขึ้นรถทัศนศึกษามหาลัยแทน 55555

นั่งรถเมลมาจนสุดทางป้ายสุดท้าย คนน้อยมากกกกกกก คร่าวๆว่า เหลืออยู่บ้านผมกับนักท่องเที่ยว คนหรือสองคน อ้อ!! ตอนลงอย่าลืมฉีกตั๋วใน Pass แล้วให้เค้าดูก่อนหย่อนลงกล่องด้วยนะครับ โดยเริ่มฉีกจากปลายก่อน

Rokko Cable Car
หลังจากลงรถเมล์สาย 16 แล้ว เรามายืนอยู่หน้า Rokko Cable Shita Station ซึ่งเวลาที่ผมมาถึงวันธรรมดา ช่วงสายๆ ประมาณ 9.30 รู้สึกคนร้างมาก เดินเข้ามาสถานีสักพัก รถ Cable Car มาถึงพอดี ลักษณะเหมือนรถรางบ้านเราหน่ะแหละ ที่นั่งเป็นชั้นๆ ตามความลาดชันของเขา

ก่อนขึ้นนั่งเรามาดูข้อมูลคร่าวๆ ยานพาหนะของเราก่อน เจ้า Rokko Cable Car เนี่ย เปิดให้บริการครั้งแรกในปี1932 เชื่อมต่อระหว่างสถานี Rokko Cable Shita ที่ตั้งอยู่เชิงเขา Rokko และสถานี Rokko Sanjo ด้านบน มีระยทางประมาณ 1.7 กิโลเมตร โดยความสูงระหว่างสองที่นี้แตกต่างกันถึง 493.3เมตร

ระหว่างที่รอเวลาออก จะมีมุมให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ไม่ใช่ธรรมดา มีพร๊อบให้แต่งตัวด้วยตาม Concept ช่วงนั้นๆ เช่นผมมาช่วงธันวา นอกจากหมวกและชุดของเจ้าหน้าที่สถานีแล้วยังมี หมวกคริสต์มาสให้ใส่ถ่ายรูปอีกด้วย อีกทั้งเจ้าหน้าที่สถานีก็จะแต่งตัวเข้าใส่หมวกคริสต์มาสเหมือนกัน

เมื่อรถใกล้เวลา นาย(หรือนางสาว)สถานีจะเริ่มเรียกผู้คน เราก็จัดการฉีกตั๋วใบต่อมาของ Pass ยื่นให้เค้าแทนตั๋ว เดินขึ้นมาบนรถจับจองหาที่นั่งสบายๆ เพราะคนไม่เยอะ โดยตู้แรกที่ผมเลือกนั่งนั้นจะเป็นแบบ Open Air และเปิดหลังคา O_O หรือถ้าร้อนหรือหนาว สามารถเข้าไปตู้อื่นที่เป็นกระจกได้

Cable Car ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที ระหว่างทาง จะเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของภูเขา Rokko ซึ่งช่วงที่ผมมาเข้าฤดูหนาวแล้ว แต่ยังมีใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็นอยู่บ้างโดยเฉพาะ ใบเมเปิ้ลจิ๋ว แต่ถ้ามาในช่วง ฤดูใบไม้ผลิก็อาจจะได้สัมผัสกับทุ่งซากุระแทน นอกจากเหล่าพันธุ์พืชให้ชมตลอดทาง เราสามารถมองวิวเมืองโกเบในมุมสูงและ เสียวอีกด้วย ก็เล่นทางขึ้นมันชันเอาๆ นี่ถ้าปล่อยตามแรงโน้มถ่วงยิ่งกว่ารถไฟเหาะแน่นอนนนน แนะนำใครชอบความท้าทาย นั่งด้านหน้าสุดครับ ฮ่าๆๆ

เมื่อ Cable Car มาถึง สถานี Rokko Sanjo ภายในสถานีจะมีแผนที่และเจ้าหน้าที่คอยแนะนำอยากรู้อะไรถามได้(ถ้าคุยรู้เรื่องนะ) ในส่วนของสถานี Rokko Sanjo นี้อาจจะดูเก่าๆ ก็เนื่องจากว่ามีการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมที่ตกแต่งมาตั้งแต่ก่อสร้าง อีกทั้งบนจุดชมวิวของสถานีสามารถมองเห็นวิวที่ราบโอซาก้ารวมทั้งสนามบินคันไซอีกด้วย

ด้านนอกสถานี อากาศบนนี้ค่อนข้างหนาวววววววมากกกกกกกก ใกล้ๆทางออก จะมีจุดจอดรถบัสอยู่สองสาย สำหรับเราที่จะไปเที่ยวบริเวณ ภูเขา Rokko จะใช้บริการ Rokko Sanjo Bus สีแดงเขียวซึ่งจะจอดด้านหน้าตรงนั้นแหละ ช่วงเวลาที่ผมไปถึงมีรถเมลออกไปคันนึงพอดี จึงต้องรออีกพักใหญ่ๆ กว่าคันถัดไปจะออก ระหว่างนั้นก็หาข้อมูลว่าจะเที่ยวที่ไหนดี และตามด้วยชาอุ่นๆ จากตู้กดช่วยบรรเทาความหนาว

Rokko Sanjo Bus
การมาเที่ยว Rokko นั้นการเดินทางรอบๆบริเวณส่วนใหญ่ของหนีไม่พ้น Rokko Sanjo Bus เจ้ารถ Bus นี้ จะวิ่งวน รับส่งสถานที่เที่ยวต่างๆ บนเขตภูเขา Rokko ซึ่งสามารถดูได้จากแผนที่ด้านล่าง

ในแต่ละฤดูบางสถานที่อาจจะมีเปิดหรือปิดเราจะต้องเช็คดีๆก่อน สำหรับผมแล้ว การมาเที่ยว Rokko ฤดูหนาวนั้น หลายสถานที่ก็จะปิด ผมตั้งใจว่า จะมาสัมผัสหิมะที่ลานสกีที่ Rokko Snow Park , พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีนานาชาติ และ Rokko Garden Terrace แต่จนแล้วจนรอด พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ปิดปรับปรุง ทำให้เหลือเพียง Rokko Snow Park และ Rokko Garden Terrace

สำหรับเพื่อนๆท่านไหนที่อยากเช็คสถานที่ท่องเที่ยวสามารถเช็คได้ที่ https://www.rokkosan.com/en/pass/

หลังจากทนความหนาวด้านนอกไม่ไหว(แม้ยืนตากแดด) ผมและครอบครัวก็ขึ้นมารอบนรถ Bus รถที่นี่ออกตรงเวลาเป๊ะครับ ก่อนออก ก็มีผู้โดยสารมาจนเกือบเต็ม
เมื่อรถออกแล้ว ให้เราสังเกตุแผนที่ และป้ายไฟหน้ารถ จะทำให้ทราบว่าเราจะลงที่ป้ายไหน

Rokko Snow Park
สำหรับเป้าหมายแรกของเราบนภูเขา Rokko ในหน้าหนาวนี้ คือ แท่น แทน แท้นนนนน Rokko Snow Park ด้วยครอบครัวผมเอไม่เคยสัมผัสบรรยากาศ หิมะ ลานสกี อีกทั้งพ่อและแม่อาจจะทนความหนาวของหน้าหิมะจริงๆไม่ไหว ผมจึงเลือกที่นี่เป็นอีกจุดหมายหนึ่งเพื่อมาสัมผัส โดยปกติแล้ว ภูมิภาคนี้ อยู่ฝั่งทะเลแปซิฟิก หิมะไม่ค่อยตก ปีปีนึงอาจจะตกไม่ถึงสัปดาห์ แต่บนภูเขา Rokko ก็มีบ้างเยอะกว่านั้น แต่ด้วยความที่มาก่อน อาจจะยังพึ่งเข้าหนาวหนาว จึงยังไม่มีหิมะตกให้เห็น(พยากรณ์บอกว่า วันสองวันก็จะตก) แต่ที่ Rokko Snow Park นี้ มีเครื่องผลิตหิมะ แล้วเอามาถมเพื่อเล่นสกีกัน เพราะที่นี่ถึงแม้หิมะยังไม่ตก แต่ความหนาวอย่าบอกใคร เฉียดๆกับ 0 องศาทำให้ หิมะยังคงรูปได้

 

เมื่อมาถึงก็จัดแจงซื้อบัตรเข้าซึ่งไม่ไม่ได้รวมกับตัว Pass โดยค่าเข้าอยู่ที่ 1600 เยน (ใช้ pass ลดจาก 2100 เยน) และหากใครไม่มีอุปกรณ์ ที่นี่ยังมีบรีการเช่าอุปกรณ์ซึ่งพูดตรงๆ ว่าแพงเอาเรื่องเหมือนกัน ผมจึงเลือกเช่า Sled ซึ่งราคาถูกที่สุด ไม่ต้องใช้ถุงเท้าถุงมือ ขอเล่นแบบเด็กๆเนี่ยแหละ โดยจะต้องมัดจำอีก 1000 เยน เมื่อนำมาคืนจะได้ตั๋วเพื่อมารับเงินคือที่ช่องจำหน่ายตั๋ว

ตัวอย่างราคาเช่าอุปกรณ์ https://www.rokkosan.com/en/images/ski/ski_rental.pdf 

อ้อ!! เกือบลืมก่อนเข้าด้านในแวะป้ายรถ Bus เพื่อเช็คเวลาที่รถมารับด้วยนะครับ ผมพลาดตรงที่ไม่ได้เช็ค ตอนออกมารอ จึงเสียเวลารอนานมากกว่ารถจะมา

เข้ามาด้านใน ที่นี่นั้นจะแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือ ลานสกีสำหรับผู้ช่ำชอง สำหรับเล่นสกีและสโนวบอร์ดเท่านั้น อีกส่วนนึงก็คือ Snow ส่วนนี้เหมือนมีไว้สำหรับเด็กๆ และผม 555 เจ้า Sled ที่เช่านี่ จะต้องไปที่รับที่แผนกอุปกรณ์ แล้วนำมาเล่นที่นี่ เนินที่นี่จะระยะชันน้อยกว่าและระยะทางไม่ไกลนัก เหมาะกับเด็กๆ อย่างผมฮ่าๆๆๆ เอาหน่ามือใหม่ ขอลองหน่อย ค่าเช่นอุปกรณ์สกีก็แพงเหลือหลายเล่นอันนี้พอ 555

รอบแรกเลย ยอมรับตรงๆว่าเบรกไม่เป็น ทำเอาเกือบหลุดลงเขา รอบสองรอบสามจับทิศทางได้ ใช้เท้าชะลอความเร็วก่อน แต่นั้น รองเท้าเราไม่ใช่รองเท้าสำหรับตะลุยหิมะครับ หิมะเข้าไปด้านในทำเอาทั้งเปียกทั้งเย็นเลย

ใกล้ๆกันกับส่วนที่ไว้เล่น sled ก็จะมีลานหิมะ ไว้ให้เด็กๆที่เบื่อหิมะมาปั้นตุ๊กตาหิมะกัน จะเหลือหรอครับ ด้วยความที่ไม่เคยเล่น ขอลองเล่นบ้าง ทั้งนี้ ควรใส่ถุงมือมาด้วยไม่กันมือท่านจะเย็นจนแดงเลยทีเดียว

หลังจากสนุกกับการถ่ายรูปและเล่น sled ผมได้นำอุปกรณ์ไปคืนและจะได้ คูปองสำหรับขอเงินมัดจำคืนที่ด้านนอก ก่อนออกได้มีการแวะถ่ายรูปคนเล่นสกีสักหน่อย ขณะก้าวขึ้นไปลานสกีรองทันได้นั้นเอง ผลั๊ว ลื่นครับ หัวฟาดกล้องโดนปูดเป็นลูกมะนาวแป้นเลย 5555 เลือดซิบๆอีก มึนเลย ดีกล้องไม่เป็นไร คงด้วยความห่วงกล้องยกกล้องขึ้นก่อน หัวจึงคะมำไปโขกเข้ากับกล้อง ทั้งนี้ท่านไหนที่มาลานสกีหากไม่ได้เช่ารองเท้า ใส่รองเท้าผ้าใบธรรมดามาจงระวัง !!!!

ออกมาด้านนอก ต้องใช้เวลาอีกนานเลย กว่ารถจะมา และต้องมองป้ายดีๆ ตรงนี้จะมีสองป้ายข้างๆกันคือ ขาไปและขากลับ อาศัยมองลูกศรว่าป้ายต่อไปของเราคือที่ไหน จึงไปรอตรงนั้น รถ Bus จะมาจอดตรงป้ายพอดี

Rokko Garden Terrace
หลังจากมาถึงป้าย Rokko Garden Terrace ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักจาก Rokko snow park ที่นี่บรรยากาศเงียบเหงา ทั้งๆที่มีหลายจุดให้ชมวิวและถ่ายรูป ประวัติศาตร์จะไม่ซ้ำรอย เมื่อผมมาถึง รีบไปดูป้ายรถเมลขากลับเพื่อเช็คตารางเวลาทันที

ที่นี่เปรียบเสมือนจุดท่องเที่ยวหลักจุดหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นมาชมบรรยากาศหมู่บ้านสไตล์ตะวันตก และมองเห็นเมืองโกเบด้านล่าง ยังมีหอคอยขึ้นไปถ่ายรูปและชมวิวมุมสูงอีกด้วย และหากมาในเวลากลางคืนจะเห็นไฟเมืองสวยไปอีกแบบ(ดูจากรูปเอา) สำหรับทริปนี้ผมเลือกขึ้นมาหาอาหารกลางวันที่นี่ ซึ่งมีประมาณสามสี่ร้าน ข้างๆร้านอาหารก็มีร้านของฝากสามารถเลือกซื้อของฝากกันได้ กลับมาที่ร้านอาหาร ร้านที่นี่มักจะเป็นแบบเครื่องสั่งโดยเราจะต้องไปกดที่เครื่องหรือตู้ หยอดเหรียญใส่ธนบัตร แล้วกดปุ่มเลือกเมนู จึงจะได้บัตรเพื่อนำไปให้พนักงานที่เค้าเตอร์ แต่ที่ยากเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นจ้าา ดีพนักงานมาช่วยแนะนำ มื้อนี้จึงไม่อดตาย

เมนูที่นี่ที่น่าสนใจ(สั่งตามโต๊ะข้างๆ)คือ ทาโกะยากิยักษ์ ทาโกะยากิไส้ปลาหมึกที่ใส่ปลาหมึกยักษ์ทั้งตัว รสชาติอร่อย และเส้นโซบะ+เต้าหู้ก็รสชาติดีไม่แพ้กัน

Rokko-Arima Ropeway

หลังจากทานอาหารมื้อเที่ยงเรียบร้อยถึงคราวที่เราจะต้องไปต่อ ผมกลับมายังป้ายรถเมล เพื่อรอรถบัสเดินทางต่อไปยังป้ายถัดไปซึ่งเป็นป้ายสุดท้ายนั้นคือ สถานี Ropeway ชื่อ Rokko Sancho Station ว่าแต่เอ๊ะ Ropeway นี่มันคืออะไร เมืองไทยไม่มี มันต่างจก Cable Car ไหม Ropeway ในภาษาไทยคือกระเช้าไฟฟ้า ก็แบบห้อยๆๆ อ่ะ เหมือนกระเช้านองปิงที่ฮ่องกง แต่ฮ่องกงเรียก Cable Car เอากะเค้าสิอาจจะสับสนกันไป เอาเป็นว่าที่ญี่ปุ่นกระเช้าคือ Ropeway ส่วนเจ้า Cable Car คือรถรางที่ใช้สาย Cable ดึง 555

นั่งรถบัสยังไม่ทันตูดร้อน(จริงๆเดินมาก็ได้นะ) ก็มาถึง Rokko Sancho Station ซึ่งเป็นสถานีฝั่ง Rokko ซึ่งเราจะเห็นฟันเฟืองขนาดใหญ่เป็นสัญลักษณ์ด้านหน้า


เมื่อเข้ามาด้านในของสถานี เราจะต้องซื้อตั๋ว Ropeway ซึ่งไม่ได้รวมใน Pass เราสามารถใช้ pass ลดราคาอีกเช่นเคย ค่า Ropeway แบบ one way เหลือ 810 เยน หลังจากนั้นระหว่างรอ ด้านในมีห้องสำหรับผู้โดยสารมีฮีทเตอร์อุ่นๆพร้อมกับฉายสารคดีท่องเที่ยว Rokko ส่วนด้านนอกยังมีพิพิธภัณฑ์ย่อมๆ ให้ความรู้อีกด้วย รอเพลินๆ เจ้าหน้าที่ก็มาประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นกระเช้า โดยจะเป็นกระเช้าที่มาจาก Arima ที่มาถึงไม่นานก่อนหน้านี้

Rokko-Arima Ropeway ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1969 เชื่อมต่อระหว่างยอดเขา Rokko ถึงเมือง Arima Onsen ซึ่งอยู่อีกฝากของเมืองโกเบ ตัวกระเช้ามีขนาดใหญ่ จุผู้โดยสารได้ น่าจะประมาณ 20 คน และขณะเดินทางจะมีพนักงานไปกับเราด้วย โดยกระเช้านี้ไม่ได้ใช้แค่โดยสาร ยังใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกด้วย จึงมีการบรรยายจากพนักงานตลอดการเดินทางแต่เป็นภาษาญี่ปุ่นนะ เราจึงหมดสิทธิ์เข้าใจ(ถึงแม้ถ้าบรรยายอังกฤษมาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี 555) นอกจากนั้นจะเห็นวิวทิวทัศน์ อีกฝากของเทือกเขา Rokko ซึ่งใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 12 นาที

Arima onsen
เมื่อมาถึง Arima Onsen Ropeway Station บรรยากาศยิ่งเงียบเหงา มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วยกันใช้วิธีการเดินเข้าเมือง อีกวิธีคือโทรเรียกรถโรงแรมมารับ นอกจากนี้ที่ทราบมา จะมีรถวนนะ แต่ไม่รู้รอนานแค่ไหน ผมเลือกที่จะโทรหาโรงแรม เพื่อเข้าไปยังเมือง Arima ซึ่งอยู่ห่างจากสถานี Ropeway ประมาณ 1.1 กิโลเมตร

 

ไหนๆ ก็มาถึง Arima onsen ขอเล่าเรื่องเมือง arima หน่อย Arima Onsen (有馬温泉) เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงภายในเขต Kobe อยู่ถัดจากเขา Rokko ไปทางตอนเหนือของเมือง เมืองนี้ตั้งอยู่ในเทือกเขาธรรมชาติ ระยะทางไม่ไกลมาก ทำให้สามารถเดินทางไปกลับในวันเดียวหรือจะไปนอนพักในวันเสาร์อาทิตย์ได้

Arima Onsen มีประวัติยาวนานกว่า 1000 ปี ถือเป็นหนึ่งในน้ำพุร้อนที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ว่ากันว่ารู้จักครั้งแรกจากจักรพรรดิ์องค์หนึ่งของญี่ปุ่นได้มาแช่น้ำแร่ที่นี่ โดยเมือง Arima จะมีน้ำพุร้อนสองแบบ แบบแรกคือ Kinsen หรือ น้ำแร่สีทอง เป็นสีน้ำตาลที่มีแหล่งสะสมเหล็ก มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวพรรณ รบรรเทาอาการภูมิแพ้ ผื่นคัน และช่วยในการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ ส่วนอีกแบบคือ Ginsen น้ำแร่สีเงิน ประกอบด้วยเรเดียมและคาร์บอเนตและช่วยในการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิต และอาการร่วมต่างๆ

หากใครที่มา Arima Onsen แบบไปเช้าเย็นกลับ สามารถเลือกแช่น้ำแร่ แบบบ่อสาธารณะได้ โดยจะมีบ่อน้ำร้อนสาธารณะจำนวน 2 บ่อคือ Kin no yu ที่เป็นน้ำแร่สีทอง สนนราคา 650 เยน และ Gin no yu
น้ำแร่สีเงิน ราคา 550 เยน หรือจะเหมาสองบ่อในราคา 850 เยนก็ได้

ครั้งก่อนที่ผมมาผมก็ม่แช่ที่ Gin no yu ซึ่งอาจจะเดินมาไกลหน่อยจากสถานี แต่ไม่ได้แช่ที่ Kin no yu แต่สำหรับครั้งนี้ผมได้จองโรงแรมซึ่งเป็นที่พักแบบเรียวกัง หรือ โรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นโบราณซึ่งถือว่าเป็นจุดหมายปลายทางของวันนี้

*รูปเมือง Arima ถ่ายจากเมื่อครั้งก่อน

 

Negiya Traditional Japanese Spa
สำหรับเรียวกังเนกิยะ การมาพักในครั้งนี้เพื่อเปิดประสบการณใหม่ๆนี้ ค่าใช้จ่ายที่พักค่อนข้างแพงกว่าโรงแรมธรรมดา อีกทั้งยังอยู่ในเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกด้วย เมื่อตีเป็นเงินไทยตกคนละประมาณ 3500 บาท รวมอาหารเช้า หากรวมอาหารเย็นเข้าไปด้วยก็จะขึ้นกับ set ที่สั่ง โดยจะตกประมาณคนละ 5000 บาทต่อคืน !!

นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของผมที่ได้พักแบบเรียวกัง หลังจากลงจากรถที่ รร.ส่งไปรับที่สถานี Ropeway สัมผัสแห่งการบริการเริ่มต้นขึ้น (จริงๆมันเริ่มตั้งแต่ลุงโชเฟอร์แกมารับและ) ลุงโชเฟอร์หลังจากจอดรถ แกจะเดินนำมาเปิดประตู รร. ด้านในจะพบกับพนักงานสองสามคน คอยต้อนรับลูกค้า

เมื่อไปถึงแล้ว เราจะต้องถอดรองเท้า เพื่อเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์แบบญี่ปุ่น ส่วนรองเท้าของเราจะมีพนักงานนำไปเก็บในตู้ให้(ตรงนี้เราไม่สามารถหยิบเข้าออกเองได้ต้องให้พนักงานหยิบให้เสมอ)

หลังจากเก็บรองเท้าเรียบร้อยแล้ว เราก็ดำเนินการเช็คอินกับพนักงานที่หน้าเค้าเตอร์ ซึ่งก็จะมีการขอเอกสารตามปกติ จากนั้นจะมีพนักงานนำเราไปยังห้องพัก ซึ่งห้องพักของผมอยู่อีกตึกนึง ในโรงแรมจะตกแต่งเป็นแบบเรียวกังแท้ๆ พนักงานหลายคนจะใส่ชุดที่เป็นชุดญี่ปุ่นเองคล้ายๆ ชุดกิโมโนแต่เครื่องจะดูไม่เยอะเท่า พร้อมกับคำทักทายภาษาญี่ปุ่นทุกครั้งที่เจอ

 

ก่อนไปถึงห้องนอน พนักงานท่านนั้นได้พาไปแนะนำ ห้องอาหารรวมถึงบ่อแช่ออนเซ็นซึ่งของ โรงแรมนี้จะมีสองบ่อ แยกชายหญิง โดยทั้งสองบ่อต้องสังเกตุสีป้ายด้านหน้าว่าเป็นเวลาของชายหรือหญิง เอาง่ายๆ ว่าบ่อ A ชายช่วงเช้าหญิงช่วงเย็น บ่อ B หญิงช่วงเช้า ชายช่วงเย็น ดังนั้น หากจะแช่ทั้งสองบ่อ ต้องมาสองรอบนะจ๊ะ คือตอนเย็นกับตอนเช้า

หลังจากแนะนำบ่อออนเซ็นเรียบร้อย เค้าก็พาเรามายังห้อง ห้องของเราเป็นห้องแบบญี่ปุ่น มีชานบ้านสำหรับถอดรองเท้าอีกรอบ ห้องน้ำจะอยู่ซ้ายมือ เปิดประตูเข้าไปอีกชั้นจะเป็นห้องหลัก ทันที่ที่เปิดห้องเข้าไปจะได้กลิ่มใบหญ้าแห้งหอมๆ ซึ่งน่าจะเป็นกลิ่นเฉพาะของเสื่อ Tatami ซึ่งเป็นเสื่อดั้งเดิมที่คนญี่ปุ่นมักนำมารองพื้น ผมชอบนะพราะให้ความรู้สึกดีและอุ่น

กวาดตาไปรอบๆมีการจัดโต๊ะรองรับพวกเราไว้ พนักงานท่านนั้นเชิญพวกเรานั่งและจัดพิธีชงชาย่อมๆ ขึ้น แล้วก็อธิบายรายละเอียดให้เราฟังเช่น การใช้บ่อออนเซ็น การสวมชุดยูกาตะ เวลาที่ต้องการให้พนักงานมาปูที่นอน ซึ่งก็นอนกันห้องหลักเนี่ยแหละ

ด้านในยังมีห้อง ห้องคล้ายกับระเบียงแต่อยู่ภายในอาคารอีกห้อง มีโต๊ะเเก้าอี้นั่งชิวมองวิว กั้นด้วยประตูเลื่อนแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ที่ตัวบานทำมาจากกระดาษสาแบบที่ การ์ตูนญี่ปุ่นชอบเจาะรูกัน

กลับมาที่พนักงานแนะนำ ซึ่งทำให้ผมแปลกใจคือพนักงานค่อนข้างเป็นมิตร แนะนำอะไรต่างๆดี แถมคำบางคำภาษาไทยยังฟังเข้าใจ เกิดความสงสัยขึ้น จึงได้ถามเค้าไป ได้ความคร่าวๆว่า เค้าเป็นคนนึงที่ชอบดูทีวีไทย อย่างญาญ่ากับนเดชเค้ารู้จัก (นี่!! ละครไทยก็ดังไม่ใช่น้อย ขนาดเมืองเล็กๆ ยังมีคนรู้จัก)

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีปฐมนิเทศ(ฮ่าๆๆๆ) เราก็พักผ่อนตามอัธยาศัย ก่อนจะลงไปหาอะไรกินในเมือง arima ซึ่งต้องเดินจากที่พักไป 5 นาที ครั้งแรกกับการออกมาหน้าโรงแรมยามค่ำคืน รู้สึกโรงแรมจัดไฟสวยมากกกก(อย่าดูรูปนะครับรูปไม่สวยเหมือนที่ตาเห็น ขอยืมรูปจากในเน็ตละกัน)

http://visit.arima-onsen.com/wp/wp-content/uploads/2015/01/1top1-900×600.jpg

ในเมืองเวลาค่ำคืนแล้วยิ่งเป็นหน้าหนาวอะไรๆ ก็ปิดเร็ว เราต้องรีบหาอาหารเย็นรับประทานก่อนจะมาซื้อของนิดๆหน่อยๆ ก่อนเดินกลับขึ้นเขามายัง รร. ระหว่างทางสังเกตุได้อย่างนึงคือไฟที่ดูเหมือนจะเป็นไฟหน้าบ้านของคนที่นี่ ปกติมันจะดับ แต่พอมีคนเดินผ่านถนนจะติดขึ้นมาเอง นับว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนทำเพื่ออนุรักษ์พลังงาน

อิ่มท้องกันแล้วก็ได้เวลา ออนนนนนนนนนน เซ็นนนนนนนนน ผมจัดแจงเปลี่ยนชุดใส่ชุดยูกาตะ และไม่พลาดที่จะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนจะลงเดินไปที่่บ่อ บ่อชายช่วงเย็นในวันนี้ เป็นบ่อที่ต้องเดินไปนอกอาคาร จัดแจงถอดเสื้อผ้า เข้าไปก็เริ่มจากการอาบน้ำของเราให้สะอาด แล้วก็แช่ซะ
บ่ออนเซ็นที่นี่ นอกจากจะมีสองบ่อแล้ว ยังมีบ่อย่อยด้านในอีกคือ indoor กับ outdoor โดยจะมีน้ำแร่ทั้งสีทองและสีเงิน โดยด้านนอกจะเป็นน้ำแร่แบบสีทอง

ฟินกันไป กับอากาศข้างนอกที่อุณหภูมิ เกือบ 0 องศา ตอนที่ยืนแก้ผ้านี่หนาวเหน็บมา สมผัสแรกที่ลงบ่อก็จะรู้สึกร้อนมาก กลัวไข่จะสุก ฮ่าๆๆๆ จึงต้องค่อยๆลง แล้ว จึงนั่งแช่ฟินๆไป

http://www.arima-onsen.com/upmdir4/1/18_main_img.jpg

หลังจากขึ้นมาแล้วก็ได้เวลาตามที่นัด มีพนักงานมาเคาะห้องเพื่อที่จะมาปูที่นอนให้ พนักงานจัดแจง เก็บโต๊ะ เก้าอี้ ปูฟูกสองชั้น คลุมผ้า ปูผ้าห่มเรียกแล้ว สวยทีเดียว โดยขนาดที่ทำพยายามเชิญเราไปนั่งรอสบายๆ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงขอยืนดูละกัน แต่ถ้าเป็นไปได้คงเข้าไปช่วยปูแล้วล่ะ 5555

http://selected-ryokan.com/wp-content/uploads/2016/01/c748b0c51454d824718d933258ded53e.jpg

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อคืนนอนทั้งชุดยูกาตะแหละเพราะอ่านมาว่าใส่นอนได้ เช้านี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อจะมาแช่อีกบ่อกัน บ่อของที่นี้เปิดแต่เช้าครับ ตีห้าก็เปิดและ ส่วนปิดหรอตีหนึ่งแหนะ แต่เช้าๆมักจะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นที่บ่อออนเซ็นเสมอ(ดูโคนันมากไป) เมื่อคืนนี้ผมลงแช่เวลาประมาณ 1 ทุ่มไม่มีคนเลย ส่วนเช้านี้ 7 โมง ปรากฎว่าคนเพียบเลย บ่อของวันนี้จะเป็นอีกบ่อขนาดไม่เท่าบ่อเมื่อวาน มี indoor outdoor เหมือนกัน ก็สบายตัวไปอีกเช่นเคย

แช่ออนเซ็นรอบเช้าเรียบร้อย ก็ได้เวลาอาหารเช้า อาหารเช้าที่นี้ก็เข้ากับ โรงแรมเป็นชุดอาหารญี่ปุ่นอย่างละนิด อย่างละหน่อย พนักงานแนะนำการรับปรุงและรับประทานด้วยความที่เห็นเราทำผิดๆถูกๆ 555 รสชาติก็ใช้ได้ครับ แบบอาหารญี่ปุ่นแต่ผมว่าข้าวหน้าเนื้อมื้อง่ายๆอร่อยกว่า 555

บ๊ายบาย Arima-onsen

ถึงเวลาล่ำลาเมืองนี้ ผมทำการ check out เรียบร้อย ลุงโชเฟอร์คนเมื่อวานก็ได้มาส่งครอบครัวผมที่สถานีรถไฟ โดยขากลับนี้ผมเดินทางโดยรถไฟกลับโอซาก้าโดยใช้บัตร KTP ก่อนขึ้นรถไฟ ผมได้มีโอกาศการเดินชมเมืองและถ่ายรูปบริเวณลำธารกลางเมืองเล็กน้อย เป็นอันปิดทริป Rokko-san+Arima onsen สำหรับเส้นทางนี้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี ทำให้ผมรู้สึกชอบมากๆ ในหลายๆเรื่อง อย่างที่กล่าวไปในบทนำ ได้ลองอะไรที่ไม่เคยลอง วิวทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็นซึ่งหากมาฤดูอื่นอาจจะมองเห็นในมุมมองอื่นที่แตกต่าง และเมืองที่สงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน ซึ่งหากใครสนใจ ก็หาโอกาสตามรอยแล้วมาเล่าสู่การฟังบ้างครับ

แล้วพบกันใหม่ในโอกาสต่อไป ขอบคุณครับ

รูปภาพ จากกล้อง DSLR / มือถือ และบางภาพยืมจากเว็บไซต์จะมี Link อยู่ด้านใต้

link ข้อมูลที่สำคัญ
http://koberope.jp/en/rokko/price
https://www.rokkosan.com/en/pass/
http://www.negiya.jp/eng/access/ropewey/index.html
http://www.negiyaryokan.com/en-gb/photos#0
http://plus.feel-kobe.jp/guidemap/docs/rokko_en.pdf
https://www.japan-guide.com/e/e3558.html
http://www.hanshin.co.jp/global/en/map/